นับถอยหลังเหลือเวลาอีกแค่สัปดาห์เศษก็จะสิ้นปี 2568 เข้าสู่ปีใหม่ 2569 ที่เป็นปีมะเมีย ซึ่งตำราโหราศาสตร์บางสำนักบอกว่า จะเป็นปีม้าธาตุไฟ โดยการเมืองไทยปี 2569 เรื่องสำคัญที่สุดก็คือ การเลือกตั้ง สส.ในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ที่จะนำมาสู่การจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
สำหรับปี 2568 เป็นปีที่มีเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองหลายเรื่อง บางเรื่องก็สิ้นสุดกระแสความไปแล้ว แต่บางเรื่องยังยืดเยื้อ ต้องไปติดตามต่อในปีหน้า
และหากย้อนดูปฏิทินการเมืองตลอดปี 2568 จะพบเหตุการณ์สำคัญแบบเด่นๆ ซึ่งขอคัดเลือกมา 5 บริบทสำคัญ โดยทั้ง 5 เรื่อง จะมีความเชื่อมโยงถึงกันโดยตรง
1.สงครามไทย-กัมพูชาเปิดฉากรบ 24 ก.ค.ก่อนยืดเยื้อถึงปัจจุบัน
สงครามไทย-กัมพูชาที่ยังสู้รบกันในปัจจุบัน เริ่มมีการปะทะกันบริเวณชายแดนตั้งแต่ 24 ก.ค. โดยฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนบริเวณปราสาทตาเมือนธม สุรินทร์ จากนั้นเหตุการณ์นำไปสู่การขยายวงปะทะหลายจุดตามแนวชายแดนและพื้นที่อื่นๆ ทั้งอุบลราชธานี ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ ตราด โดยวันดังกล่าว กองทัพไทยตอบโต้ด้วยอาวุธหนักหลายชนิด เช่น ส่งเครื่องบิน F-16 ทิ้งระเบิดบริเวณฐานที่มั่นทางทหารของกัมพูชา และมีการปะทะต่อเนื่องไปจนถึงช่วงวันที่ 28 ก.ค.ที่มีการหยุดยิง หลังมีการประชุมเพื่อทำข้อตกลงที่มาเลเซีย เมื่อ 28 ก.ค. ที่มี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนเป็นคนกลางในการเจรจา
และต่อมามีการทำข้อตกลงสันติภาพไทย-กัมพูชา (Joint Declaration) เมื่อ 26 ต.ค. ระหว่างการประชุมอาเซียนซัมมิตที่มาเลเซีย ที่มีการลงนามร่วมกันระหว่างฝ่ายไทยคือ นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล และนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา โดยมีโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และอันวาร์ อิบราฮิม เป็นสักขีพยาน ซึ่งในข้อตกลงดังกล่าวมีเนื้อหาสาระสำคัญ เช่น การจัดตั้งกลไกผู้สังเกตการณ์อาเซียน-การถอนอาวุธและยุทโธปกรณ์หนักและทำลายล้างสูงออกจากแนวชายแดน และนำกลับไปยังที่ตั้งปกติของหน่วยทหารแต่ละประเทศ-การประสานงานและดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายข้อตกลงสันติภาพดังกล่าวก็ไม่เกิดผลในทางปฏิบัติ เพราะฝ่ายกัมพูชาเริ่มต้นก่อเหตุรอบใหม่ โดยสถานการณ์ความตึงเครียดรอบล่าสุดเริ่มเกิดขึ้นเมื่อ 7 ธ.ค. และเริ่มเปิดฉากการสู้รบตั้งแต่ 8 ธ.ค. ที่กัมพูชาใช้อาวุธปืนเล็กและปืนใหญ่ยิงเข้ามายังฝั่งไทย จนเกิดการสู้รบตลอดทั้งวัน โดยจุดปะทะอยู่ที่บริเวณพื้นที่ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี และขยายวงไปอีกหลายพื้นที่ ซึ่งจนถึงปัจจุบันการสู้รบยังคงดำเนินต่อไป
2.คลิปเสียงอัปยศแพทองธาร ศาล รธน.วินิจฉัยให้พ้นจากนายกรัฐมนตรี
ก่อนที่จะเกิดสงครามไทย-กัมพูชา ในช่วงเดือน ก.ค.2568 ช่วงนั้นความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา เริ่มมีความตึงเครียดขึ้นเป็นระยะ โดยเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น รัฐบาลเพื่อไทยเวลานั้นเจอกระแสกดดันทั้งจากคนในประเทศและต่างประเทศ ให้กวาดล้างปราบปรามเครือข่ายขบวนการทุนเทา-สแกมเมอร์-พนันออนไลน์ตามแนวชายแดน ทั้งฝั่งเมียนมาและกัมพูชา ขณะเดียวกันกระแสเรียกร้องให้ยกเลิก MOU ไทย-กัมพูชา เริ่มมีกระแสตอบรับสูง หลังพบว่าทหารกัมพูชามีการรุกล้ำเข้ามายังฝั่งไทย จนเกิดความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา และต่อมาเกิดเหตุการณ์ปะทะเมื่อ 28 พ.ค. ที่ช่องบก ทำให้ฝ่ายไทยโดยเฉพาะฝ่ายทหาร ใช้มาตรการควบคุมจุดผ่านแดน และประกาศปิดด่านถาวร 6 ด่านและจุดผ่อนปรน ทำให้ ฮุน เซน ไม่พอใจ เพราะเกิดผลกระทบอย่างหนักกับกัมพูชา จึงมีการกดดันให้ไทยเปิดด่าน
และแล้ววันที่ 18 มิ.ย. คนไทยทั้งประเทศต้องตะลึงกับคลิปเสียงสนทนาระหว่าง ฮุน เซน กับนายกฯ ไทย แพทองธาร ชินวัตร ที่คุยกันเมื่อ 15 มิ.ย. ที่ฮุน เซน ต้องการให้ไทยเปิดด่าน โดยเนื้อหาคำพูดของแพทองธาร ทำให้คนไทยทั้งประเทศรับไม่ได้ เช่น เรียกแม่ทัพภาคที่ 2 เวลานั้น พลโทบุญสิน พาดกลาง ว่า "เป็นฝั่งตรงข้ามกับเรา" และบอกฮุน เซน ว่า "อยากได้อะไรก็ให้บอกมาได้ เดี๋ยวจะจัดการให้" ทำให้กลุ่ม สว.ยื่นคำร้องให้ศาล รธน.วินิจฉัยให้พ้นจากการเป็นนายกฯ ต่อมา 29 ส.ค. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 3 ให้แพทองธารพ้นจากการเป็นนายกฯ เพราะมีพฤติกรรมฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
3.อนุทินผงาดนายกฯ เกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อย
หลังมีการเผยแพร่คลิปเสียงอัปยศ ฮุน เซน กับแพทองธาร เมื่อ 18 มิ.ย. ซึ่งช่วงดังกล่าว อยู่ในช่วงการปรับคณะรัฐมนตรีพอดี โดยฝ่ายเพื่อไทยกดดันอนุทิน และภูมิใจไทย อย่างหนักเพื่อต้องการเอากระทรวงมหาดไทยมาดูแลเอง แต่อนุทินไม่ยอม ทำให้จะปรับภูมิใจไทยออกจากรัฐบาล แต่เมื่อเกิดคลิปอัปยศขึ้น ภูมิใจไทยก็ประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลในคืนวันที่มีการปล่อยคลิปเสียงทันที
อย่างไรก็ตาม ภูมิใจไทยเป็นฝ่ายค้านได้ไม่นาน สุดท้าย เมื่อแพทองธารหลุดจากนายกฯ และเพื่อไทย รวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ แพ้การวางแผนของภูมิใจไทย ที่เดินเกมตั้งรัฐบาลไว้ล่วงหน้า เพราะมั่นใจว่าแพทองธารไม่รอด จึงเจรจากับ ธรรมนัส พรหมเผ่า ให้เอาพรรคกล้าธรรม แยกตัวออกมาจากรัฐบาลเพื่อไทย ผสมกับมี สส.เพื่อไทยหลายคนก็แยกตัวมาหนุนอนุทิน ที่สำคัญอนุทินปิดดีล ทำข้อตกลง MOA กับพรรคประชาชนเพื่อให้โหวตเป็นนายกฯ จนอนุทินได้เป็นนายกฯ แต่พรรคประชาชนขอเป็นฝ่ายค้านต่อไป ทำให้รัฐบาลอนุทินเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย 146 เสียง โดยให้คำมั่นจะอยู่ไม่เกิน 4 เดือน ยุบสภาฯ 31 ม.ค.2569 แต่สุดท้ายก็มีการยุบสภาฯ ก่อนไทม์ไลน์ที่ประกาศไว้
4.ทักษิณเข้าคุก นักโทษเทวดาชั้น 14 ไม่รอด
การที่ทักษิณกลับไทย และได้รับพระราชทานลดโทษจาก 8 ปี เหลือ 1 ปี แต่สุดท้ายไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว เพราะ 6 เดือนอยู่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ จากนั้นเข้าสู่กระบวนการพักโทษ เป็นเรื่องที่สร้างรอยแปดเปื้อนให้กับกระบวนการยุติธรรมไทยอย่างมาก โดยหลายฝ่ายพยายามเรียกร้องให้มีการตรวจสอบ เพราะเชื่อว่ามีการช่วยเหลือทักษิณอย่างเป็นขบวนการ จากเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์-เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร-รพ.ตำรวจ แต่เพระตอนนั้นเพื่อไทยเป็นรัฐบาล คุมอำนาจทางการเมือง ทำให้ไม่เกิดการตรวจสอบใดๆ
ก่อนที่สุดท้าย ศาลฎีกาฯ จะเข้ามาไต่สวนคดีชั้น 14 เอง หลังกลุ่มชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ยื่นเรื่องไปถึง 3 ครั้ง และฉากจบก็มาถึงในวันที่ 9 ก.ย. โดยศาลฎีกาฯ พิสูจน์ให้เห็นว่า กฎหมายและความยุติธรรมยังมีอยู่จริงกับการตัดสินว่า “การบังคับโทษจำคุกจำเลย-ทักษิณไม่ชอบด้วยกฎหมาย” และสั่งให้ทักษิณคืนคุก 1 ปี ตามพระบรมราชโองการลดโทษ
ต้องบันทึกไว้ว่า คดีชั้น 14 ทำให้สังคมได้เห็นว่ายังมีบางองค์กรที่ยืนหยัดในหลักการ-จรรยาบรรณวิชาชีพ นั่นก็คือ แพทยสภา ที่สอบสวนและลงโทษแพทย์ 3 คนที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวและรักษาทักษิณ และผลสอบดังกล่าว รวมถึงคำเบิกความของตัวแทนแพทยสภาต่อศาลฎีกาฯ ก็คือ จุดสำคัญของคำสั่งศาลฎีกาฯ ที่ทำให้ทักษิณต้องกลับเข้าคุก
5.อนุทินยุบสภาฯ 12 ธ.ค. คืนอำนาจให้ประชาชน เลือกตั้ง 8 ก.พ.2569
เดิมทีนับแต่เกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อย-อนุทินเป็นนายกฯ คนส่วนใหญ่ก็เชื่อไปในทางเดียวกันว่า การยุบสภาฯ น่าจะเกิดขึ้นก่อน 31 ม.ค.2569 ตามที่ อนุทินเคยประกาศไว้
เพราะประเมินแล้ว น่าจะเกิดปัญหาหลายอย่างที่ทำให้อนุทินประคองรัฐนาวาไปไม่ถึง ม.ค.ปีหน้า เช่น ฝ่ายค้านจะยื่นซักฟอก ทำให้อนุทินต้องชิงยุบสภาฯ ก่อน หรืออาจเกิดปัญหาการผิดข้อตกลง MOA กับพรรคประชาชน ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในช่วงการโหวตร่างแก้ไข รธน.วาระ 3 แวดวงการเมืองจึงมองว่า การยุบสภาฯ น่าจะเกิดขึ้นปลายปีนี้หรือกลางเดือน ม.ค.ปีหน้า แต่ผิดคาด อนุทินชิงยื่นพระราชกฤษฎีกายุบสภาฯ กลางดึก 11 ธ.ค. จากปมเรื่องความไม่ลงตัวในการแก้รัฐธรรมนูญวาระ 2 โดยการยุบสภาฯ มีผลกลางดึกวันที่ 12 ธ.ค. ที่เป็นวันแรกของการเปิดประชุมรัฐสภา ซึ่งต่อมา กกต.ประกาศให้เลือกตั้งวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 การยุบสภาฯ จึงเป็นไคลแมกซ์การเมืองปิดท้ายปี 2568
ทั้งหมดคือฉากร้อน-ข่าวดัง การเมืองไทยปี 2568 ที่มัดรวมไว้ ในช่วงนับถอยหลัง อำลาปี 2568 รอต้อนรับปีใหม่ 2569.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สนามเลือกตั้งเมืองหลวง-กทม. ศึกชิง33เก้าอี้-แย่งเสียงปาร์ตี้ลิสต์ พรรคส้มเหงื่อตก หลายพรรครอเจาะยาง
หนึ่งในสาเหตุทางการเมืองที่คนยังเชื่อว่า พรรคส้ม-พรรคประชาชน จะชนะการเลือกตั้งในวันที่ 8 ก.พ.2569 ก็เพราะมองว่า สนามเลือกตั้งเมืองหลวง กรุงเทพมหานคร ที่มี
แนวรบสุดท้ายสู้สแกมเมอร์ ปัจจัยที่ต้องปิดจ๊อบชายแดน
แม้สถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดน "ไทย-กัมพูชา" ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนอีสานใต้ ฝ่ายไทยจะสามารถยึดเป้าหมายในหลายพื้นที่ และ มีแนวโน้มที่ดีใน 13 แนวรบ แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่า "กัมพูชา"
ได้ทุกขั้ว-เสบียงกรัง-อำนาจ เมินกระแส สส.แห่ซบ‘กล้าธรรม’
นอกจาก ‘พรรคภูมิใจไทย’ ที่มี ‘แม่เหล็ก’ ดึงดูดอดีต สส.และนักการเมือง ในการเลือกตั้งครั้งนี้แล้ว ‘พรรคกล้าธรรม’ อาณาจักรของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะที่ปรึกษาพรรค เป็นอีกค่ายหนึ่งที่มีผู้คนพาเหรดเข้ามาเป็นองคาพยพ
โจทย์หิน3แคนดิเดตนายกฯพท. ลูกเจ๊แดงโปรไฟล์ดีแต่มีข้อกังขา!
หลังพรรคเพื่อไทยเปิดตัว ศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ อดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ลูกชายเจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวทักษิณ ชินวัตร และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หมายเลข 1 อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา
พรรค‘ปชน.’ขอโทษจากใจ วอน‘ประชาชน’ไปต่อด้วยกัน
ภาพที่หัวหน้าพรรคสีส้มทุกยุคสมัยมาปรากฏตัวพร้อมหน้าบนเวทีเดียวกันไม่ได้เกิดขึ้นให้เห็นบ่อยนัก เอาเข้าจริงอาจจะยิ่งกว่าเวทีปราศรัยใหญ่ก่อนเลือกตั้งทุกครั้งด้วยซ้ำ เพราะในกิจกรรม
เร่งเกม'เลือกตั้ง-จบศึกชายแดน' เมื่อทุกแนวรบกำลังได้เปรียบ
เรียกได้ว่าเกือบจะเป็นฉันทามติของสังคมที่ต้องการให้กองทัพดำเนินกลยุทธ์ในการนำพื้นที่ตามเส้นปฏิบัติการของไทยคืนจากกัมพูชาให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการสู้รบระลอกที่ 2

