สัญญาณบีบไทยเลือกข้าง “เด้งเชือก”รักษาสมดุล“สหรัฐ-จีน”

เริ่มมีภาคประชาชนในการตั้งคำถามถึงท่าทีของไทยในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจของโลก จากกรณี รัสเซีย กับ ยูเครน ที่เปิดปฏิบัติการทางทหารไปแล้ว และเกรงจะลุกลามไปในประเด็นขัดแย้งอื่น เช่น ไต้หวัน-จีน และ ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ ที่แต่ละฝ่ายกำลังเก็บแต้มชาติพันธมิตรไว้ในมือ

นิติธร ล้ำเหลือ หรือ 'ทนายนกเขา' แกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย เปิดเกมยื่นหนังสือถึงสถานทูตจีนและสหรัฐ โดยสถานทูตจีนรับลูกตอบคำถาม พร้อมแสดงความกังวลใน ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ฉบับใหม่ของสหรัฐ ขณะที่ฝ่ายสถานทูตสหรัฐยังนิ่ง 

แกนนำกลุ่มประชาชนคนไทยยังฝากไปถึงผู้นำเหล่าทัพ  ถึงข้อผูกมัดตามข้อตกลงในโครงการความช่วยเหลือทางด้านการทหารของสหรัฐ การฝึกร่วมผสมคอบร้าโกลด์ รวมถึงสิทธิพิเศษด้านต่างๆ นอกเหนือข้อบังคับของกฎหมายไทย ข้อตกลงเรื่องฐานทัพสหรัฐในพื้นที่ของไทย การติดตั้งอุปกรณ์ทางด้านไซเบอร์ในการขยายสถานทูต และสร้างสถานกงสุลใหม่ต่างๆ ที่ไทยไม่มีอำนาจในการตรวจสอบในการนำอุปกรณ์ต่างๆ เข้ามาหรือไม่

คำถามต่างๆ สอดคล้องกับความกังวลของ “จีน” ที่เห็นการดำเนินยุทธศาสตร์ของ “สหรัฐ” มุ่งหวังใช้ไทยเป็นฐานที่มั่นในภูมิภาคนี้ เพราะก็จะเหลือแค่ประเทศไทยที่ยังไม่ได้เลือกข้างฝ่ายใด หลังจากที่ลาว-กัมพูชา-เมียนมา ที่อยู่รอบบ้านแสดงท่าทีสนับสนุนจีน และให้ใช้พื้นที่ในการตั้งฐานบิน และ ฐานทัพเรือไปแล้ว

แต่ที่ผ่านมาไทยดำเนินนโยบาย เป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และยึดประโยชน์ของชาติ แม้ทางด้านการทหารจะมีความใกล้ชิดกับสหรัฐ ตั้งแต่สงครามเวียดนาม จนมีโครงการช่วยเหลือทางด้านทหารเป็นระยะเวลายาวนาน แต่ในด้านอื่นไทยเองก็ถูกบีบและต่อรองในหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการเมืองภายใน 

ดังนั้น จังหวะการขยายอิทธิพลของจีนจึงเป็นผลดีของไทยที่จะใช้ถ่วงดุลสหรัฐอเมริกาอยู่ไม่น้อย แต่ขณะเดียวกันก็ต้องระมัดระวังเรื่องกาเจรจา-ต่อรองในหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการค้า โครงการลงทุน เพื่อไม่ให้ไทยเสียเปรียบ

กระนั้นจีนเองก็มองไทยในแง่พื้นที่ทางยุทธศาสตร์ไม่ต่างจากสหรัฐ โดยเฉพาะยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการใช้ไทยกีดกันจีน

หรือแม้กระทั่ง โครงการปรับปรุงอาคาร-พื้นที่การก่อสร้างสถานกงสุลสหรัฐที่เชียงใหม่ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีกระแสข่าวอย่างต่อเนื่องในเรื่องของการติดตั้งอุปกรณ์พิเศษทางด้านการทหารทางด้านข่าวกรอง จนล่าสุดเมื่อวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเมียนมาและชนกลุ่มน้อยในไทยกล่าวถึงสถานกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกาในจังหวัดเชียงใหม่ผ่าน The Irrawaddy เว็บไซต์ข่าวเมียนมาว่าเป็นหนึ่งในความพยายามของสหรัฐที่มุ่งเป้าไปที่จีนจริง

สำหรับสถานกงสุลใหญ่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในราคา 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีกำหนดเปิดทำการในปี 2023 อยู่ห่างเพียง 500 กิโลเมตรจากชายแดนจีน และยังใกล้กับเมียนมาและลาว จนมีการตั้งข้อสังเกตว่า เป็นความพยายามของสหรัฐที่จะเสริมขีดความสามารถในการรวบรวมข่าวกรองจากพื้นที่ภาคเหนือของไทยในปรับปรุงพื้นที่กงสุลด้วย

แต่กระนั้น การปรับปรุงสถานทูตสหรัฐ และสถานกงสุล เป็นโครงการที่ถูกกำหนดไว้แล้ว มีแนวทางการติดตั้งอุปกรณ์ปกป้องสถานที่ตั้ง หลังจากที่เกิดกรณีบุกสังหารทูตในสถานกงสุลเบงกาซี ในลิเบีย ซึ่งสถานทูตของสหรัฐทั่วโลกจะมีการเสริมอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด จึงไม่แปลกที่จะมีข้อสังเกตเรื่อง อุปกรณ์พิเศษ ที่อาจจะนำมาใช้

แน่นอนว่าระบบข่าวกรองและแจ้งเตือนจึงเป็นสิ่งสำคัญ  ยิ่งสถานกงสุลที่ไม่ห่างกับชายแดนไทย เผชิญหน้ากับ ฐานทหาร ของกองกำลังฝ่ายตรงข้าม ประกอบกับกองกำลังชนกลุ่มน้อยที่มีศักยภาพทางด้านยุทโธปกรณ์ที่มีรัศมีทำการยิงได้ไกล มาตั้งจ่ออยู่ริมชายแดน จึงเป็นไปได้ที่สหรัฐเองก็ต้องเฝ้าระวังด้วยเช่นกัน

ไม่ต่างจากฝ่ายตรงข้ามสหรัฐที่มีกระแสข่าวว่า กำลังสร้างฐานที่มั่นของตัวเองไว้ในพื้นที่สีเทา จากการปรากฏตัวของเหล่าบรรดา “สายลับ” ที่แฝงตัวมาในคราบของเจ้าหน้าที่ นักธุรกิจที่ป่วนเปี้ยนในบ่อนกาสิโน สร้างเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ เปิดช่องทางแนวรบด้านไซเบอร์ไว้ล่วงหน้า และอาจมียุทโธปกรณ์ หรืออุปกรณ์ด้านข่าวกรอง เฉกเช่นที่สหรัฐมีหรือไม่

พื้นที่ด้านเหนือที่เป็นชายแดนจึงถูกชี้เป้าล่วงหน้า เพราะขณะนี้คาดเดาได้ยากว่า “สงคราม” ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน จะจบลงเมื่อไหร่ ไต้หวัน-จีน ที่มีปมซับซ้อนมากกว่า จะไปถึงจุดที่ใช้กำลังทางทหารหรือไม่ รวมไปถึงสถานการณ์ในทะเลจีนใต้ที่ตึงเครียดจะพัฒนาไปสู่จุดใด ความอ่อนไหวในพื้นที่ กันชน ต่างๆ ทั่วโลกก็เปรียบเหมือนมีระเบิดเวลาตั้งไว้หลายลูก

ขณะที่การฝึกผสม คอบร้าโกลด์ รวมไปถึงการฝึกรหัสต่างๆ อีกหลายสิบรหัส ยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่ประจำการอยู่ หลักสูตรการเรียน ทุนการศึกษาส่วนใหญ่ก็เป็นของทางสหรัฐ ล้วนเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ที่สหรัฐต้องการแสดงออกถึงความใกล้ชิด เป็นมิตรที่ดี และรักษาภาพลักษณ์ พี่ใหญ่ ไปให้นานที่สุด 

ขณะที่กองทัพของไทยก็เริ่มเปิดความสัมพันธ์ทางด้านการทหารกับจีน-รัสเซีย ทั้งการส่งนักเรียนไปเรียน แลกเปลี่ยนการฝึก รวมไปถึงจัดหายุทโธกรณ์ระดับยุทธศาสตร์ อย่างเรือดำน้ำจีนเข้าประจำการ

ดังนั้น ในสถานการณ์ปัจจุบันจึงยังไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ไทยต้องเลือกข้าง หรือแสดงบทบาทเป็นศัตรูกับใคร ตราบใดการสร้างสมดุลของรัฐบาล-กองทัพ ยังทำได้เหมาะสมพอสมควร.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ

เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569

ปูตินพบกับวิตคอฟฟ์และคุชเนอร์ในมอสโก ผู้นำเครมลินขู่ยุโรป

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ให้การต้อนรับ สตีฟ วิตคอฟฟ์-ทูตพิเศษของสหรัฐฯ ที่กรุงมอสโกเมื่อเย็นวันอังคาร ภาพที่ออกอากาศทางทีวีของรัสเซียแสดงให้เห็นว่า จาเร็ด คุชเนอร์-ลูกเขยและที่ปรึกษาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เข้าร่วมการประชุมที่เครมลินด้วย

'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'

ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ

แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ

วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน

รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม

วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก