'คลัง' เปิดแผนกู้งบ 65 ดันหนี้ประเทศพุ่ง 62% พร้อมเตรียมขายบอนด์ออมทรัพย์ 1.5 แสนล้าน

“คลัง” ปักหมุดปีงบ 2565 ขายบอนด์ออมทรัพย์ 1.5 แสนล้านบาท ประเดิมล็อตแรก 8 หมื่นล้านบาท เคาะ 2 รุ่น อายุ 5 ปี และ 10 ปี พร้อมเปิดแผนกู้เงิน 2.3 ล้านล้านบาท ลุยก่อหนี้ใหม่ 1.12 ล้านล้านบาท ติดเครื่องกู้ พ.ร.ก. โควิด แจงเหลือวงเงินอีก 2.63 แสนล้านบาท

4 พ.ย. 2564 นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2565 กระทรวงการคลังมีแผนจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท โดยในช่วงวันที่ 15 พ.ย.-3 ธ.ค. 2564 จะเริ่มจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์รุ่น “ออมไปด้วยกัน” จำนวน 2 รุุ่น ได้แก่ รุ่นอายุ 5 ปี และ รุ่นอายุ 10 ปี วงเงิน 8 หมื่นล้านบาท เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณรายจ่าย ปี 2565 วงเงิน 7 แสนล้านบาท และในช่วงเดือน พ.ค.-ก.ย. 2565 มีแผนจะจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์อีกราว 7 หมื่นล้านบาท

สำหรับพันธบัตรออมทรัพย์รุ่น “ออมไปด้วยกัน” วงเงิน 8 หมื่นล้านบาทนั้น แบ่งการจำหน่ายเป็น 1. รุ่นออมไปด้วยกันบนวอลเล็ต สบม. ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งจำหน่ายให้แก่ประชาชน 2 รุ่น วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท ได้แก่ รุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดเฉลี่ย 2.10% ต่อปี และรุ่นอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดเฉลี่ย 3.00% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ซื้อได้ตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไป สามารถลงทุนได้ตั้งแต่ 100 บาท – 10 ล้านบาท จำหน่ายตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. – 3 ธ.ค. 2564 2.รุ่นออมไปด้วยกัน จำหน่ายให้แก่ประชาชนและนิติบุคคลไม่แสวงหากำไรที่กระทรวงการคลังกำหนด วงเงินรวม 7 หมื่นล้านบาท จำหน่ายผ่านธนาคารตัวแทนจำหน่าย 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ ลงทุนได้ตั้งแต่ 1 พันบาทและไม่จำกัดวงเงินซื้อขั้นสูง โดยจะจำหน่ายให้กับประชาชนก่อนนิติบุคคลไม่แสวงหากำไรตามที่กระทรวงการคลังกำหนด 2 วัน เพื่อบริหารจัดการการใช้บริการ ณ สาขาธนาคารของลูกค้าแต่ละกลุ่ม โดยหากเป็นผู้เยาว์ต้องมีบัญชีธนาคารตัวแทนจำหน่ายและได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อน

โดยวันจำหน่าย วงเงิน และรุ่นอายุเป็นดังนี้ 1. จำหน่ายให้แก่ประชาชน 2 รุ่น วงเงิน 5.5 หมื่นล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย. – 3 ธ.ค. 2564 ได้แก่ รุ่นอายุ 5 ปี และรุ่นอายุ 10 ปี จำหน่ายทั้งในช่องทางเคาน์เตอร์ อินเตอร์เน็ต แบงก์กิ้งและ โมบายแบงก์กิ้งของธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 4 แห่ง และ2. จำหน่ายให้แก่นิติบุคคลไม่แสวงหากำไรตามที่กระทรวงการคลังกำหนด รุ่นอายุ 10 ปี วงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย. – 3 ธ.ค. 2564 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.20% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน โดยจำหน่ายเฉพาะช่องทางเคาน์เตอร์ของธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 4 แห่ง ซึ่งวงเงินที่จำหน่ายบนวอลเล็ต สบม. และธนาคารตัวแทนจำหน่ายไม่นับรวมกัน ผู้ลงทุนจึงสามารถลงทุนได้ทั้ง 2 ช่องทาง และกระทรวงการคลังสามารถปรับเพิ่ม/ลดวงเงินทั้ง 2 รุ่นที่จำหน่ายผ่านธนาคารตัวแทนจำหน่ายได้ตามความเหมาะสม

“มองว่าประชาชนยังมีความต้องการซื้อพันธบัตรออมทรัพย์อยู่เยอะ เพราะถือเป็นอีกทางเลือกในการออม เพราะอัตราดอกเบี้ยดีกว่าฝากเงินกับธนาคาร ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไม่ได้ต้องการแข่งขับกับภาคเอกชนแต่อย่างใด แต่ต้องการให้ความมั่นคงและเป็นการตอบแทนประชาชน” นางแพตริเซีย กล่าว

นางแพตริเซีย ยังกล่าวถึงแผนการกู้เงินของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2565 ว่า มีแผนการกู้เงินทั้งสิ้น 2.3 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นการก่อหนี้ใหม่ วงเงิน 1.12 ล้านล้านบาท และการบริหารหนี้เดิมอีก 1.19 ล้านล้านบาท ซึ่ง สบน. จะใช้เครื่องมือการกู้เงินทั้งระยะสั้น กลางและยาว โดยพันธบัตรรัฐบาล อายุ 3-50 ปี ยังเป็นเครื่องมือหลัก วงเงิน 1.1-1.3 ล้านล้านบาท ขณะเดียวกันยังมีการทำธุรกรรมบอนด์สวิชชิ่ง (Bond Switching) วงเงิน 1.4 แสนล้านบาท การออกตั๋วเงินคลัง 5.4 แสนล้านบาท การออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) และเทอมโลน 3.9-5.9 แสนล้านบาท และพันธบัตรออมทรัพย์อีก 1.5 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ ยืนยันว่า แผนการกู้เงินของรัฐบาลจะเน้นการกู้เงินจากในประเทศเป็นหลัก แต่ก็จะมีการพิจารณากู้เงินจากต่างประเทศได้หากตลาดในประเทศตึงเกินไป โดยปัจจุบัน สบน. ได้มีการเปิดวงเงินกู้ต่างประเทศไว้กับหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ได้ปิดโอกาสแต่อย่างใด แต่การกู้เงินในส่วนนี้ต้องดูเวลาและความเหมาะสมก่อน

สำหรับความคืบหน้าเกี่ยวกับการกู้เงินตาม พ.ร.ก. กู้เงินโควิดเพิ่มเติม วงเงิน 5 แสนล้านบาทนั้น ขณะนี้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีการอนุมัติกรอบวงเงินแล้ว 2.37 แสนล้านบาท มีการกู้เงินแล้ว 1.44 แสนล้านบาท มีการเบิกจ่ายเงินแล้ว 1.3 แสนล้านบาท ยังเหลือวงเงินอีกราว 2.63 แสนล้านบาท ซึ่งการกู้เงินในส่วนที่เหลือนี้ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้เงินกู้ ที่มีสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เป็นประธานว่าจะเสนอโครงการลงทุนใดบ้างให้ ครม. พิจารณา ซึ่งหากโครงการผ่านความเห็นชอบจาก ครม. แล้ว สบน. จึงจะดำเนินการกู้เงิน

“ปัจจุบันมีโครงการที่ทยอยเบิกจ่ายเงินแล้ว เช่น โครงการคนละครึ่งเฟส 3 ที่เริ่มมีการเบิกจ่าย และหลังจากนี้คาดว่าจะมีความต้องการใช้เงินเพิ่มขึ้น ซึ่ง สบน.จะทยอยกู้เงินตามความต้องการใช้ โดยมีการประเมินว่าในปีงบประมาณ 2565 หากมีการกู้เงินตามแผนการก่อหนี้เต็มวงเงิน และการกู้เงินโควิดครบ 5 แสนล้านบาท จะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะอยู่ที่ 62% ต่อจีดีพี จากสิ้นปีงบประมาณ 2564 อยู่ที่ 57.98% ต่อจีดีพี” นางแพตริเซีย กล่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นายกฯ ถกประธานตลาดหลักทรัพย์ฯ เร่งให้ไทยเป็นฮับตลาดทุนในภูมิภาค

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า เพื่อก้าวสู่อันดับ 1 ของภูมิภาค

โถ! อ้างเลื่อนแจกเงินดิจิทัล เหตุมีคนดักตีหัวรัฐบาล

'จุลพันธ์' แจงชาวอุดรฯ ยังเดินหน้าแจกเงินดิจิทัล ขออดทนรอ อ้อนให้เห็นใจต้องเลื่อน อ้างโดนสกัด เปรียบรัฐบาลเปิดประตูบ้านแล้วมีคนดักตีหัว

'กิตติรัตน์' ปลอบ ปชช. ตั้งอนุฯศึกษาเงินดิจิทัล ไม่ย้อนกลับจุดเริ่มต้น

'กิตติรัตน์' เชื่อตั้งอนุฯศึกษาดิจิทัลวอลเล็ต ไม่กลับไปสู่จุดเริ่มต้น ชี้เพื่อความรอบคอบ ขอประชาชนสบายใจได้

'จุลพันธ์' ได้ฤกษ์! ส่งกฤษฎีกาตีความ 'พ.ร.บ.เงินกู้' สัปดาห์หน้า

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กู้เงิน 5 แสนล้านบาท

'ศิริกัญญา' ไล่บี้ 'เศรษฐา' เปิดข้อมูล 'กู้มาแจก' ชัดๆ ทำไมไม่ผิด กม.

'ศิริกัญญา' จี้นายกฯ เปิดข้อมูลกู้มาแจกเงินดิจิทัลถูกกฎหมายอย่างไร ไม่เชื่อ 'ผู้ว่าแบงก์ชาติ' เสนอแนะ รับเคยเห็นด้วยนโยบายนี้จริง แต่รายละเอียดเปลี่ยนไปไกลแล้ว