'อาคม' ลุยอัดฉีด 1 ล้านล้านเข้าระบบศก.การันตีปี 65 จีดีพี 4%ไม่ไกลเกินเอื้อม

“อาคม” การันตีปี 65 จีดีพีที่ 4% ไม่ไกลเกินเอื้อม ปักหมุดอัดฉีดงบกระตุ้นเศรษฐกิจอีก 1 ล้านล้านบาท เดินหน้าเข็นโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เล็งกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ-ค้าชายแดน ชี้นโยบายการคลังยังจำเป็นช่วยสร้างความเชื่อมั่น ส่วนปี 64 ประเมินจีดีพีโตไม่ต่ำ 1% ส่งออกพระเอกคาดทะยาน 17% สูงสุดในรอบ 12 ปี

30 พ.ย. 2564 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “เหลียวหลังแลหน้า มองทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 65” ในงานเสวนาออนไลน์ “(นาที)ลงทุน โค้งสุดท้ายปี64” ว่า รัฐบาลได้เปิดประเทศมาแล้วประมาณ 1 เดือน ซึ่งถือเป็นการดำเนินนโยบายแบบคู่ขนาน สร้างความสมดุลในการดูแลเศรษฐกิจคู่กับการใช้ชีวิตร่วมกับโควิด-19 ให้ได้ แม้ต้องยอมรับว่าในปี 2564 ภาคการท่องเที่ยวจะยังได้รับผลกระทบอย่างหนัก แต่ก็ยังมีภาคการส่งออกยังเติบโตได้ดี โดยในปีนี้คาดว่าเศรษฐกิจ (จีดีพี) จะขยายตัวได้อย่างน้อย 1%

ขณะที่คาดว่าการส่งออกที่ตั้งแต่ช่วงกลางปีจนถึงปัจจุบันสามารถรักษาอัตราการเติบโตเฉลี่ยได้ 15% ทำให้คาดว่าจนถึงสิ้นปี 2564 ตัวเลขการส่งออกของไทยจะเติบโตได้ 17% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 12 ปี ขณะที่มาตรการภาครัฐในการเยียวยา และบรรเทาภาระของประชาชนจากผลกระทบของโควิด-19 ผ่านโครงการเราไม่ทิ้งกัน และเราชนะ รวมถึงโครงการกระตุ้นการใช้จ่ายอย่าง ชิมช้อปใช้, ช้อปดีมีคืน, คนละครึ่ง และยิ่งใช้ยิ่งได้ ก็ช่วยให้การใช้จ่ายของประชาชนยังขยายตัวได้ แม้จะไม่เต็มร้อยก็ตาม

“ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็น 12% ของจีดีพี ปีนี้การจะคาดหวังให้นักท่องเที่ยวต่างชาติโต 40 ล้านคนเหมือนปี 2562 คงไม่ได้ ส่วนวิกฤติโควิด-19 เข้าสู่ปีที่ 2 ก็คาดว่าใกล้จะจบ และทุกคนคงไม่ต้องการเห็นสถานการณ์เหมือนปี 2563-2564 ที่ต้องจำกัดตัวเอง จำกัดการออกจากบ้าน การทำธุรกิจ ทุกคนอยากมีรายได้ มีงานทำ มีอาชีพ ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคือป้องกันตัวเองไม่ให้ติดเชื้อ ขณะที่เศรษฐกิจก็จำเป็นต้องเดินคู่ขนานไปกับการป้องกันการระบาดของโควิด-19 และเมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ ดีขึ้น มาตรการที่รัฐบาลเข้าไปช่วยในการเยียวยาหรือกระตุ้นการใช้จ่ายก็อาจจะลดน้อยลงไป แต่ในภาพรวมเป็นเรื่องที่ต้องดูในปี 2565” นายอาคม กล่าว

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2565 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ประเมินว่าจีดีพีของไทยจะขยายตัวที่ระดับ 3.5-4.5% โดยมีค่ากลางที่ 4% นั้น ถือว่าเป็นระดับที่เหมาะสม ใช้ได้ในช่วงของการฟื้นตัว โดยรัฐบาลยังมองวาในปีหน้ามาตรการทางการคลังยังมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างความมั่นใจให้กับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เม็ดเงินของรัฐบาลผ่านงบประมาณต่าง ๆ ยังมีความสำคัญในการหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจ โดยในปีงบประมาณ 2565 มีวงเงินรวมกว่า 1 ล้านล้านาท จากงบลงทุน 6 แสนล้านบาท งบลงทุนรัฐวิสาหกิจ 3 แสนล้านบาท และเม็ดเงินจาก พ.ร.ก. กู้เงินโควิดเพิ่มเติม วงเงิน 5 แสนล้านบาท ที่เหลืออีกราว 3 แสนกว่าล้านบาท จะเข้าไปหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจผ่านโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่สำคัญ โดยเฉพาะการลงทุนอย่างต่อเนื่องในระบบขนส่งมวลชน ผ่านโครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ใน กทม. ซึ่งยืนยันว่าการลงทุนยังเป็นไปตามแผน

นอกจากนี้ รัฐบาลยังเดินหน้ามาตรการเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศ ผ่านนโยบายสำคัญคือการสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า โดยจะมีความชัดเจนในต้นปี 2565 ซึ่งในส่วนนี้จะมีมาตรการด้านการคลังเข้ามาช่วยเพื่อทำให้ราคาของรถยนต์ไฟฟ้าใกล้เคียงกับรถยนต์สันดาปเพื่อลดการปล่อยก๊าซ Co2 ขณะเดียวกันจะเพิ่มความเข้มข้นในการดึงระบบดิจิทัลเข้ามารองรับการให้บริการของภาครัฐ และตลาดทุนเองก็มีการพัฒนาการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เพื่อรองรับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เกิดขึ้น อย่างการลงทุนในคริปโตเคอเรนซี และดิจิทัลแอสเซ็สที่มีความคึกคักอย่างมาก

“ปีหน้าการเติบโตภายใต้จีดีพีที่ 4% นั้น สิ่งที่ต้องการคือ การเติบโตที่ทั่วถึง กระจายในทุกหย่อมหญ้า ไม่ใช่เฉพาะโมเดิร์นเซ็กเตอร์ อย่างอีอีซี หรือ 12 อุตสาหกรรมใหม่เท่านั้น แต่ยังต้องคิดถึงเศรษฐกิจชุมชนที่จะเป็นตัวสร้างฐานรายได้ให้กับประเทศอย่างมั่นคงในอนาคต โดยมองว่านโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ (BCG) นั้น ไม่เพียงจะตอบสนองเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศเท่านั้น แต่ในเวลาเดียวกันก็ยังสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรด้วย โดยเฉพาะพืชสมุนไพร” นายอาคม กล่าว

นอกจากนี้ ยังต้องส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ส่งเสริมให้เกิดการเดินทาง เพื่อช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวตลอดห่วงโซ่อุปทาน จะช่วยทำให้เศรษฐกิจต่างจังหวัดเติบโตได้ ขณะเดียวกันการค้าชายแดนก็เป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยพยุงให้เศรษฐกิจขยายตัว ดังนั้นการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานกับประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศในกลุ่มอาเซียนก็ยังมีความสำคัญในเชิงกายภาพ

“การจะทำให้เศรษฐกิจเดินคู่กับโควิด-19 ได้ต้องอาศัยความร่วมมือ การ์ดตกไม่ได้ โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของสายพันธุ์ใหม่ อย่างโอไมครอน การติดตาม การตรวจอย่างเข้มข้นยังจำเป็น หากไม่ป้องกันคงยากจะเห็นเศรษฐกิจเดินไปคู่ขนานกับโควิด-19 ส่วนเศรษฐกิจต้องอาศัยความร่วมมือทั้งจากภาครัฐและเอกชน ผมเชื่อว่าในปีหน้าถ้าหากเรารวมพลังทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อให้เศรษฐกิจยืนอยู่ได้ และเติบโตได้ จีดีพี 4% ไม่ไกลเกินเอื้อม” นายอาคม ระบุ

เพิ่มเพื่อน