'ศุภวุฒิ' หนุนนโยบายทลายทุนผูกขาด ชี้อยากทำรัฐสวัสดิการต้องกล้าขึ้นภาษี VAT

‘ศุภวุฒิ’ หนุนนโยบายทลายทุนผูกขาด แต่แนะให้หาจุดสมดุลในการรีดภาษี เพราะกระทบการลงทุน ยันหากจะหาเงินทำรัฐสวัสดิการ การขึ้น VAT เป็นคำตอบที่ง่ายสุด

30 พ.ค. 2566 – นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย และ ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยภัทร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวใน งานเสวนา “ปัญหาเศรษฐกิจที่รอรัฐบาลใหม่” จัดโดย สถาบันคึกฤทธิ์ ว่า เห็นด้วยกับนโยบายทลายทุนผูกขาด เพราะตามหลักการทุนผูกขาดเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคไม่เป็นผลดีกับประเทศอยู่แล้วและมีประสิทธิภาพต่อเศรษฐกิจต่ำ เป็นการขายของราคาแพงแต่ได้ปริมาณของน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

ทั้งนี้หากดูตัวเลขจะเห็นว่า บริษัทใหญ่ 5% ของประเทศ ทำรายได้ถึง 85% ของรายได้บริษัททั้งหมด ครองกำไร 60% ของภาคธุรกิจทั้งหมด ซึ่งหากมองภาพระยะยาวการทลายทุนผูกขาดจริงๆต้องมีการทำสัญญากับรัฐอย่างโปร่งใส และต้องสร้างการแข่งขันในตลาดโลกดันบริษัทไทยไปตลาดโลก ส่วนนโยบายที่ออกมาทำให้ตลาดหุ้นเขียวหรือไม่เขียวเป็นสิ่งที่ต้องแบ่งต้องแยก ส่วนการจะเก็บภาษีจากเงินทุนต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นภาษีจากการซื้อขายหุ้น ภาษีจากกำไรจากการขายหุ้น หรือ ภาษีความมั่งคั่ง เพราะการไปเก็บภาษีจากเงินทุนจะทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนต่ำลง การตัดสินใจลงทุนก็จะลดลง เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนด้วยการลงทุนดังนั้นจึงต้องหาจุดที่พอดี

ส่วนการส่งเสริมเอสเอ็มอี ก็ต้องสร้างสภาพแวดล้อมในการเติบโตให้กับธุรกิจ ลดข้อจำกัดต่างๆทางด้านกฎระเบียบ และส่วนตัวว่าอยากให้ส่งเสริมเอสเอ็มอีไทยขึ้นไปเป็นสตาร์ตอัพในระดับยูนิคอร์น เปิดโอกาสและสร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่ต่อไปด้วย

สำหรับนโยบายด้านรัฐสวัสดิการถามว่าประเทศไทยควรเดินไปทางรัฐสวัสดิการหรือไม่ ซึ่งในเมื่อพรรคก้าวไกลได้เสียงส่วนใหญ่มาจากประชาชนที่มองว่าควรเดินไปทางนั้นก็ต้องไปทางนั้น แต่ในเชิงเศรษฐศาสตร์อาจจะมีเรื่องของขนาดที่เหมาะสมของภาครัฐว่าควรอยู่ตรงไหน ซึ่งมีงานวิจัยอยู่เยอะมากส่วนใหญ่จะบอกว่าขนาดของภาครัฐไม่ควรเกิน 20 %ของจีดีพีจะดีที่สุด และก็ต้องดูแลเป็น Smart Government ที่มีการใช้ IT เข้ามาเกี่ยวข้อง

“การทำรัฐสวัสดิการต้องใช้การหางบประมาณ หากอยากเก็บภาษีให้ได้มาก ภาษีที่เก็บได้เป็นกอบเป็นกำมีวิธีหนึ่งที่อาจจะไม่ได้รับความนิยมนั้นคือการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT ซึ่งความจริงภาษี VAT ของไทยอยู่ที่ 10 % แต่ก็มีการใช้อัตรา 7% มาตลอด และฐานภาษีที่ใหญ่คือ VAT การปรับขึ้น VAT สัก 1 % จะทำให้รัฐเก็บภาษีได้ 60,000 – 80,000 ล้านบาท หรืออาจจะมากกว่านั้น ซึ่งหากเทียบกับนโยบายเก็บภาษีประเภทอื่นจะเห็นว่ามีอัตราการขึ้นที่มากกว่าการปรับ VAT เสียอีก แต่การขึ้นภาษีทุกประเภทจะถูกต่อต้านและมีต้นทุนตามมา”

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'คลัง' ฟุ้งจัดเก็บ 7 เดือนแจ่มธนาคารโลกแนะขึ้น VAT

“คลัง” ฟุ้งจัดเก็บรายได้ 7 เดือน ปีงบประมาณ 2566 เกินกว่าเป้าหมาย 8.9% มั่นใจทั้งปีผลงานฉลุย แจงมาตรการอุ้มราคาน้ำมันคุมเงินเฟ้ออยู่ มองทั้งปีกดเหลือไม่เกิน 3% ด้าน “ธนาคารโลก” แนะปฏิรูปภาษีแบบก้าวหน้า หนุนขึ้น VAT - ขยายการจัดเก็บภาษีที่ดิน – ขยายฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา – ลดเงื่อนไขการลดหย่อน ช่วยปั้มรายได้ภาครัฐรองรับการเติบโตระยะยาว

นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสฝากการบ้านรัฐบาลใหม่จี้ช่วยเหลือเรื่องทำมาหากิน - ปฏิรูปการศึกษา

นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสฝากการบ้านรัฐบาลใหม่ เร่งอำนวยความสะดวกในการทำมาหากิน ขจัดกฎหมาย หนุนปฏิรูปการศึกษาเป็นวาระเร่งด่วน ห่วงจัดตั้งรัฐบาลล่าช้าส่งผลให้ประเทศเกิดสุญญากาศ

กรมสมเด็จพระเทพฯ ทอดพระเนตรโขนเยาวชนสถาบันคึกฤทธิ์

20 เม.ย.2566 - เวลา 18.00น. สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ ทอดพระเนตรการแสดงโขนเยาวชนประจำปี 2566

มูลนิธิคึกฤทธิ์แสดงโขน-โนรา ส่งต่อมรดกชาติ

เดินหน้าส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทยตลอดปี 2566 หลังจากหยุดชะงักจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ปีนี้มูลนิธิคึกฤทธิ์ 80  ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  เตรียมการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยของสถาบันคึกฤทธิ์ขึ้น

โออาร์ สนับสนุนสถาบันคึกฤทธิ์ ๘๐ สืบสานมรดกศิลปวัฒนธรรมไทย

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ประธานกรรมการมูลนิธิคึกฤทธิ์ ๘๐ รับมอบเงิน จำนวน 15 ล้านบาท จากนางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)