“ไทยควอลลิตี้ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์” ส่ง วนาสิริ พลัส ลุยราชพฤกษ์ตัดใหม่

29 มิ.ย. 2566 – นายปกป้อง มะลิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยควอลลิตี้ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเริ่มต้นพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในย่านปทุมธานี มาตั้งแต่ปี 2538 โดยเริ่มจากการพัฒนาอพาร์ทเมนท์ให้เช่า และโฮมออฟฟิศ จนกระทั่งในปี 2547 ได้เข้าซื้อที่ดิน 2 แปลง จำนวน 100 ไร่ 1 แปลง และ 12 ไร่ 1 แปลง บริเวณถนนราชพฤกษ์ตัดใหม่ในปัจจุบัน และได้เริ่มพัฒนาโครงการแนวราบ รูปแบบบ้านเดี่ยวชั้นเดียว ภายใต้แบรนด์ ‘วนาสิริ พาร์ควิวล์’ เฟสแรก บนพื้นที่ส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงใหญ่ 100 ไร่ ในปี 2550 จำนวน 150 ยูนิต ซึ่งได้รับผลตอบรับดีมาก สามารถปิดการขายได้ภายใน 2 ปี จากนั้นจึงได้ทำการพัฒนาบ้านเดี่ยวชั้นเดียว ภายใต้แบรนด์ “วนาสิริ พาร์ควิวล์” เฟส 2 ในปี 2559 บนที่ดินแปลงเดียวกันอีกจำนวน 50 ยูนิต ซึ่งสามารถปิดการขายได้ภายใน 2 ปีเช่นเดียวกัน

สำรหับปัจจุบัน ไทยควอลิตี้ แลนด์ แอนด์ เฮาส์ ได้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไปแล้วรวมมูลค่าเกือบ 600 ล้านบาท แบ่งเป็น อพาร์ทเมนท์ 3 แห่ง ซึ่งได้ขายกิจการต่อไปแล้วทั้งหมดหลังทำรายได้เกินจุดคุ้มทุน โครงการโฮมออฟฟิศ 10 โครงการ ซึ่งปิดการขายไปทั้งหมดแล้ว และโครงการ วนาสิริ พาร์ควิวล์ 2 เฟส ซึ่งปิดการขายไปเรียบร้อยแล้วเช่นกัน และเนื่องจากในช่วงปลายปี 2561 ได้มีการเปิดให้บริการถนนราชพฤกษ์ตัดใหม่ ทำให้ศักยภาพของที่ดินเพิ่มสูงขึ้น ขณะความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยก็สูงขึ้นตามไปด้วย บริษัทจึงเห็นโอกาสในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม และตัดสินใจพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวชั้นเดียว ภายใต้แบรนด์ วนาสิริ พลัส ขึ้นในช่วงปลายปี 2565 บนที่ดินแปลงเดียวกับโครงการวนาสิริ พาร์ควิวล์ ทั้ง 2 เฟส ซึ่งขณะนั้นยังมีพื้นที่เหลืออยู่อีก 35 ไร่

“หลังเปิดให้บริการถนนราชพฤกษ์ตัดใหม่ ราคาที่ดินในย่านนี้ ก็สูงขึ้นจากในปี 2547เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ความต้องการที่อยู่อาศัยในย่านนี้ ก็สูงขึ้นตามไปด้วย ส่วนหนึ่งมาจากคนในพื้นที่ที่ต้องการขยายครอบครัวและซื้อบ้านใหม่ และเนื่องจากย่านนี้เป็นแหล่งงาน โดยมีทั้งโรงงาน และบริษัทเอกชน รวมทั้งอยู่ไม่ไกลจากศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ นอกจากนี้ การมีถนนราชพฤกษ์ตัดใหม่ยังทำให้การเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองและออกต่างจังหวัดทำได้อย่างสะดวก ขณะที่ย่านนี้ยังอยู่ไม่ไกลจากแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง รวมทั้งแนวรถไฟฟ้าสีชมพู (โครงการในอนาคต) รวมทั้งรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ราชพฤกษ์ เซ็นทรัล เวสเกต จึงทำให้กลุ่มคนที่ทำงานในเมืองกลุ่มหนึ่งเลือกที่จะมาซื้อบ้านในย่านนี้ ซึ่งราคาบ้านยังถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่แรงมาก” นายปกป้อง กล่าว

ขณะเดียวกันหลังเปิดให้บริการถนนราชพฤกษ์ตัดใหม่ มีผลให้ที่ดินในย่านนี้กลายเป็นที่ดินที่มีศักยภาพสูง ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในย่านนี้จึงมีการแข่งขันที่สูงขึ้นตามไปด้วย จากที่เคยมีแต่ผู้เล่นที่เป็นผู้ประกอบการท้องถิ่น ก็เริ่มมีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาพัฒนาโครงการหลายราย ซึ่งสำหรับ วนาสิริ พลัส มีความได้เปรียบในด้านต้นทุนค่าที่ดิน ซึ่งเป็นราคาเมื่อ 19 ปีที่แล้ว จึงสามารถให้สิ่งต่าง ๆ กับลูกค้าได้มากกว่า ทั้งพื้นที่ใช้สอย คุณภาพ และราคา

ทั้งนี้ การที่เลือกทำโครงการบ้านเดี่ยวชั้นเดียว เนื่องจากบริษัทมีความเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าในย่านนี้ ซึ่งมักใช้ชีวิตประจำวันอยู่เพียงชั้นใดชั้นหนึ่งของตัวบ้าน ขณะที่ยังต้องการพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านที่กว้างขวาง ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนในบ้านได้ครบถ้วน โดยจุดเด่นที่เป็นจุดต่างของ วนาสิริ พลัส คือให้พื้นที่กับลูกค้าอย่างเต็มที่ ถึงแม้จะเป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียว แต่ก็มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าบ้าน 2 ชั้น ในราคาที่ย่อมเยากว่า เช่น บ้านขนาด 55 ตร.ว. ของเรา มีพื้นที่ใช้สอยสูงถึง 185 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 3.5 ล้านบาท ขณะที่บ้านสองชั้นในย่านนี้ พื้นที่ใช้สอยโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 140 ตร.ม. และราคาจะอยู่ที่ 5-6 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังใช้วิธีการก่อสร้างแบบดั้งเดิมคือก่ออิฐถือปูนโดยเลือกใช้อิฐมวลเบา ซึ่งมีความทนทานกว่าระบบพรีแคส และเลือกใช้วัสดุคุณภาพ อาทิ กระเบื้องปูพื้นแกรนิโต้ 60×60 ซม. ภายในบ้านโปร่งโล่งด้วยความสูงจากฝ้าถึงเพดาน 4.3 ม. พร้อมช่องเปิดขนาดใหญ่รอบบ้านเพื่อรับแสงและลมธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ นอกจากนั้น ยังออกแบบรองรับการอยู่อาศัยของคนทุกวัย มีทางลาดรองรับผู้ใช้รถวีลแชร์ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งชั้นดาดฟ้าที่สามารถใช้เป็นมุมสันทนาการได้ และยังเพิ่มประโยชน์ใช้สอยให้กับจุดเล็ก ๆ ที่หลายคนมองข้าม เช่น ที่เก็บรองเท้าใต้ที่นั่งหน้าบ้าน การใช้ประโยชน์จากช่องว่างภายในเสาหน้าบ้าน ทำเป็นตู้เก็บของ ด้วยการออกแบบอย่างลงตัวและกลมกลืน และภายในโครงการยังเดินสายไฟใต้ดินทั้งหมดเพื่อทรรศนะที่ดีของลูกบ้านอีกด้วย

สำหรับ โครงการ ‘วนาสิริ พลัส’ ได้รับการพัฒนาในรูปแบบบ้านเดี่ยวชั้นเดียว บนพื้นที่โครงการ 35 ไร่ จำนวน 93 ยูนิต มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท มีแบบบ้านให้เลือก 3 แบบ เนื้อที่ 55-80 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 185-235 ตร.ม. กับฟังก์ชัน 3-4 ห้องนอน 3-4 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 1-2 คัน ตกแต่งครบแบบ Fully Fitted พร้อมชุดครัว เฟอร์นิเจอร์ลอยตัวห้องรับแขก เครื่องปรับอากาศ 2 ตัว แทงก์น้ำ ปั๊มน้ำ และจัดสวน ในราคาเริ่มต้น 3.5 ล้านบาท โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือครอบครัวผู้บริหารระดับกลาง ที่มีสมาชิกในครอบครัวประมาณ 3-5 คน ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 20 ยูนิต โดยในปี 2566 ตั้งเป้ายอดขายจากโครงการนี้จำนวน 36 ยูนิต มูลค่ารวม 142 ล้านบาท ขณะที่ตั้งเป้ารับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าว 70 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถปิดการขายทั้งโครงการได้ในปี 2567

อย่างไรก็ดี บริษัทยังมีที่ดินรองรับการพัฒนาในย่านถนนราชพฤกษ์ตัดใหม่อีก 1 แปลง เนื้อที่ 12 ไร่ ซึ่งคาดว่าจะพัฒนาเป็นโครงการทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น ราคา 1 ล้านบาทปลายๆ ถึง 2 ล้านบาทต้นๆ เจาะกลุ่มคนทำงานที่ต้องการซื้อบ้านแทนการเช่า ซึ่งคาดว่าจะเปิดโครงการได้ในปี 2569 และหากพิจารณาแล้วว่าทำเลย่านนี้มีศักยภาพเพียงพอที่จะพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวสูงและมีความต้องการซื้อ ก็อาจจะมีโครงการคอนโดมิเนียม Low Rise เพิ่มเติมในที่ดินแปลงดังกล่าวในปี 2570 อีกด้วย

เพิ่มเพื่อน