กกพ.เคาะค่าเอฟทีงวดใหม่ ชง 3 สูตร ค่าไฟต่ำสุด 4.45 บาท

กกพ.เปิดรับฟังความเห็น 7 – 21 ก.ค. นี้ ก่อนเคาะค่าเอฟที งวดก.ย. – ธ.ค. 66 เผย 3 กรณี ยึดการคืนหนี้ กฟผ. เป็นหลัก ส่งผลทางเลือกค่าเอฟทีต่ำสุดที่ 66.89 สตางค์ต่อหน่วย คิดเป็นค่าไฟฟ้า 4.45 บาท หรือใช้กรณีจ่ายหนี้คืนทั้งหมด หนุนค่าไฟแพงสุด 6.28 บาทต่อหน่วย

7 ก.ค. 2566 – นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษกฯ เปิดเผยว่า กกพ. ในการประชุมครั้งที่ 32/2566 (ครั้งที่ 860) เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2566 มีมติรับทราบภาระต้นทุนค่าเอฟทีประจำรอบเดือน ม.ค. – เม.ย. 2566 และเห็นชอบผลการคำนวณประมาณค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ(เอฟที) สำหรับงวดเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2566 โดย กกพ. จะดำเนินการรับฟังความคิดเห็นค่าเอฟที สำหรับการเรียกเก็บในรอบเดือนก.ย. – ธ.ค. 2566 ทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 7 – 21 ก.ค. 2566 ก่อนที่จะมีการสรุปและประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป พร้อมให้ กกพ. นำค่าเอฟทีประมาณการและแนวทางการจ่ายภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. ไปรับฟังความคิดเห็นในกรณีต่าง ๆ ดังนี้  

กรณีที่ 1 (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างทั้งหมด) จะมีกานปรับค่าเอฟทีเรียกเก็บประจำงวดเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2566 อยู่ที่จำนวน 249.81 สตางค์ต่อหน่วย แบ่งเป็นเอฟทีขายปลีกประมาณการที่สะท้อนต้นทุนเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2566 จำนวน 28.58 สตางค์ต่อหน่วย และเงินเรียกเก็บเพื่อชำระเงินที่ กฟผ. กู้มาเพื่อตรึงค่าไฟฟ้าตั้งแต่เดือน ก.ย. 2564 – เม.ย. 2566 คิดเป็นเงินจำนวน 135,297 ล้านบาท เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้า (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 6.28 บาทต่อหน่วย ตามรายงานการคำนวณตามสูตรเอฟที

กรณีที่ 2 (ตรึงค่าเอฟทีเท่ากับงวดเดือน พ.ค. – ส.ค. 66) โดยเรียกเก็บค่าเอฟทีประจำงวดเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2566 จำนวน 91.19 สตางค์ต่อหน่วย แบ่งเป็นเอฟทีขายปลีกประมาณการที่สะท้อนต้นทุนเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2566 จำนวน 28.58 สตางค์ต่อหน่วย และทยอยชำระเงินที่ กฟผ. กู้มาเพื่อตรึงค่าไฟฟ้าตั้งแต่เดือน ก.ย. 2564 – เม.ย. 2566 จำนวน 38,291 ล้านบาท เพื่อลดภาระดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น โดยคาดว่า ณ สิ้นเดือน ธ.ค. 2666 มีภาระหนี้คงเหลือที่ต้องชำระคืนให้ กฟผ. 97,006 ล้านบาท เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้า (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) คงเดิมที่ 4.70 บาทต่อหน่วย 

กรณีที่ 3 (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างใน 5 งวด) ค่าเอฟทีเรียกเก็บประจำงวดเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2566 จำนวน 66.89 สตางค์ต่อหน่วย แบ่งเป็นเอฟทีขายปลีกประมาณการที่สะท้อนต้นทุนเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2566 จำนวน 28.58 สตางค์ต่อหน่วย และทยอยชำระเงินที่ กฟผ. กู้มาเพื่อตรึงค่าไฟฟ้าตั้งแต่เดือน ก.ย. 2564 – เม.ย. 2566 โดยแบ่งเป็น 5 งวดๆ ละ 23,428 ล้านบาท โดยคาดว่า ณ สิ้นเดือน ธ.ค. 2666 มีภาระหนี้คงเหลือที่ต้องชำระคืนให้ กฟผ. 111,869 ล้านบาท ทำให้ค่าไฟฟ้า (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับลดลงเป็น 4.45 บาทต่อหน่วย ตามข้อเสนอของ กฟผ.

นายคมกฤช กล่าวว่าสำหรับผลการคำนวณประมาณค่าเอฟทีและแนวทางการจ่ายภาระต้นทุน ที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. ทั้ง 3 กรณีที่กล่าวข้างต้นนั้นเป็นไปตามการประมาณการต้นทุนเชื้อเพลิงโดย ปตท. และ กฟผ. นำประมาณการดังกล่าวมาคำนวณต้นทุนค่าไฟฟ้า ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติเหลวในตลาดจร (สปอต แอลเอ็นจี) ที่ลดลงในรอบ พ.ค.- ส.ค. 66 ส่งผลอย่างมีนัยยะสำคัญต่อค่าประมาณการค่าเอฟที ในงวดเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2566 ถึงแม้ว่าก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยจะทยอยปรับเพิ่มขึ้นแต่จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนของแหล่งก๊าซธรรมชาติในเมียนมา ประกอบกับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคปิโตรเคมีและอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นทำให้ปริมาณก๊าซที่ส่งให้ภาคไฟฟ้ามีจำนวนจำกัด 

 “การเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกรวมทั้งการเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวของยุโรปส่งผลให้ความต้องการใช้ LNG เพิ่มมากขึ้นและอาจส่งผลต่อราคา LNG ในตลาดเอเชีย ทั้งนี้ กกพ. ร่วมกับ ปตท. กฟผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์การผลิตและใช้ก๊าซธรรมชาติอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานในราคาที่เหมาะสม ”นายคมกฤช กล่าว 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กกพ. ตรึงค่าเอฟที 39.72 สตางค์/หน่วย ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บเฉลี่ย 4.18 บาท/หน่วย ถึง ส.ค. 67

กกพ. ประกาศตรึงค่าเอฟที 39.72 สตางค์/หน่วย ขณะที่ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บเฉลี่ยอยู่ที่ 4.18 บาท/หน่วย จนถึงเดือน ส.ค. 67

กกพ.ชี้การทำงานยากขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานใหม่

กกพ.ชี้การกำกับพลังงานยากขึ้น ย้ำไทยยังต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ ชี้พลังงานหมุนเวียนยังพึ่งพาไม่ได้ 100% พร้อมเผยความท้าทายใหม่ ทั้งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานใหม่ และความพร้อมของโครงข่ายไฟฟ้ารับการซื้อขายในอนาคต

รมว.พลังงาน สั่งเพิ่มของขวัญปีใหม่ ลดค่าไฟ ไม่ปรับขึ้นราคาน้ำมันทุกชนิดตลอด 10 วัน

นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาของขวัญปีใหม่เพิ่มเติมให้แก่ประชาชน หลังจากที่ได้เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว