พีพี กรุ๊ป (PP GROUP) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับโลก คว้าแบรนด์ดังเสริมพอร์ต ขยายครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ พร้อมเดินหน้าทำการตลาดเชิงรุก สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน มั่นใจรายได้เติบโตตามเป้า แตะ 4,000 ล้านบาท ภายในปี 2026
19 ก.ย. 2566 – สุวดี พึ่งบุญพระ ประธานกรรมการ พีพี กรุ๊ป เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแบรนด์ชั้นนำ ได้แก่ Tory Burch (ทอรี่ เบิร์ช), Givenchy (จีวองชี่), Longchamp (ลองฌอมป์), Roger Vivier (โรเฌร์ วิวิเยร์), MCM (เอ็มซีเอ็ม), Off-White (ออฟไวท์), Maison Kitsuné (เมซง คิทสึเนะ), Palm Angels (ปาล์ม แองเจิลส์), Casetify (เคสทิฟาย) เปิดเผยว่า “พีพี กรุ๊ป ก่อตั้งขึ้นในปี 2003 และได้รับความไว้วางใจจากธุรกิจกลุ่มสินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ให้เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการในการจัดจำหน่าย ดำเนินธุรกิจ และดูแลภาพลักษณ์ของ แบรนด์ในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง และด้วยประสบการณ์การบริหารแบรนด์แฟชั่นลักชัวรีชั้นนำจากทั่วโลก เราจึงมองเห็นโอกาสที่จะต่อยอดธุรกิจให้เติบโตจากเทรนด์อุตสาหกรรมแฟชั่น
โดยตลอด 5 ปีที่ผ่านมา พีพี กรุ๊ป มีการพัฒนาทางธุรกิจอย่างก้าวกระโดด ซึ่งแม้แต่ภายใต้สถานการณ์โควิด ยอดขายของบริษัทฯ ยังมีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่องถึง 45% โดยในปี 2023 คาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้มากถึง 2,000 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นจากห้าปีก่อนถึงเกือบเท่าตัว จากการลงทุนภายในปี 2023 มากกว่า 200 ล้านบาท โดยการเพิ่มจุดขายในทุกพื้นที่ในจุดยุทธศาสตร์จากเดิม 2,254 ตารางเมตร (20 ร้านค้า) เป็น 4,342 ตารางเมตร (40 ร้านค้า) ภายในสิ้นปีนี้”
นายโอฬาร ปุ้ยพันธวงศ์ รองประธานกรรมการ พีพี กรุ๊ป กล่าวว่า “ในปัจจุบัน พีพี กรุ๊ป มีกลยุทธ์ที่แตกต่างจากคู่แข่ง คือมีแบรนด์ที่หลากหลายทั้งแบรนด์ในกลุ่มแฟชั่น, กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม, กลุ่มไลฟ์สไตล์ และยังมีช่องทางการจัดจำหน่ายของตัวเอง อีกทั้งความหลากหลายของแบรนด์และช่วงราคาทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดในวงกว้าง โดยภาพรวมตลาดแฟชั่นรีเทลในประเทศไทยมีมูลค่ารวมเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มลักชัวรี ทำให้ยอดขายของแบรนด์ที่บริหารโดยกลุ่ม พีพี กรุ๊ป สามารถทำยอดขายได้เป็นเป็นอันดับต้นๆ ของโลก หรือของภูมิภาคมาโดยตลอด โดยปีนี้เรายังคงเดินหน้าในการเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแบรนด์ชั้นนำที่เป็นที่ต้องการและเป็นกระแสในวงการแฟชั่นระดับโลกให้กับตลาดไทยอย่างต่อเนื่อง”
โดยตลอด 20 ปีที่ผ่านมา พีพี กรุ๊ป เป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับการแข่งขันให้กับธุรกิจในกลุ่มแฟชั่นและไลฟ์สไตล์สำหรับตลาดประเทศไทย อาทิ การเป็นผู้เริ่มนำเสนอสินค้าในกลุ่มสตรีทลักชัวรีให้กับเมืองไทยในปี 2018 หรือการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจดูแลการจัดจำหน่ายให้กับ Casetify ในการนำเสนอไลฟ์สไตล์เกี่ยวกับสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีชั้นนำให้กับเมืองไทยเป็น ครั้งแรก
ในอนาคต พีพี กรุ๊ป ตั้งเป้าที่จะเป็น Connector หรือตัวแปรสำคัญในการเชื่อมโยงเมืองไทกับสิ่งใหม่ๆที่เกิดขึ้นในโลกของ แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ทั่วโลก และมีเป้าหมายคือสร้างความเติบโตอย่างเก้ากระโดดหรือโตขึ้นจากเดิมเป็นสองเท่าภายใน 3 ปีข้างหน้า หรือขยายธุรกิจให้แตะ 4,000 ล้านภายในปี 2026 กับมีทิศทางทางธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการยกระดับ Retail Experience สร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ เพื่อดึงดูดให้ผู้คนและกลุ่มเป้าหมายได้เข้ามาสัมผัสกับประสบการณ์กับแบรนด์เทียบเท่ากับการไปซื้อของในร้านหรือช็อปใหญ่ๆ ในโลก
ด้วยความพร้อมของตลาดและกำลังซื้อของลูกค้า บริษัทคิดว่า เมืองไทยพร้อมรองรับการเติบโตของแบรนด์ใหม่ๆ โดยล่าสุดเพิ่งเปิดตัวแบรนด์ Gentle Monster (เจนเทิล มอนสเตอร์) แบรนด์แว่นตาสัญชาติเกาหลี กับแฟล็กชิปสโตร์แห่งแรกในเมืองไทยที่ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ โดยได้กระแสการตอบรับที่ดีมากจนสินค้ารุ่นลิมิเต็ดจำหน่ายหมดภายในวันแรกที่เปิดตัว และภายในต้นปี 2024 ยังมีแผนที่จะขยายตลาดในกลุ่มเซกเมนต์ใหม่ โดยโฟกัสในการนำเข้าแบรนด์ใหม่มาแรงเพื่อสร้างความหลากหลายให้กับธุรกิจแฟชั่นรีเทลในเมืองไทยกับกลุ่มดีไซเนอร์แบรนด์ โดยเตรียมนำแบรนด์ AMI (อาร์มี่) แบรนด์ดังจากฝรั่งเศส มาเปิดร้านแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คาดว่าจะสามารถเปิดได้ในช่วงต้นปี 2024
จากกลยุทธ์ที่วางแผนไว้ บริษัทมีความมั่นใจว่าจะสามารถสร้างความเติบโตอย่างก้าวกระโดดหรือโตขึ้นจากเดิมเป็นสองเท่าภายใน 3 ปีข้างหน้า หรือขยายธุรกิจให้แตะ 4,000 ล้านภายในปี 2026 โดยให้ความสำคัญกับธุรกิจแบบ Brick and Mortar พร้อมไปกับการพัฒนา E-Commerce เพื่อให้สามารถขายสินค้าได้ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ทำให้มีศักยภาพสูงในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน