เปิด4ธุรกิจดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มุ่งสู่เป้าหมายบริษัทเทคโนโลยีเต็มตัวในปี2567

30 ม.ค. 2567 – พื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกของไทย ศูนย์กลางอุตสาหกรรมของประเทศ มีการลงทุน ทั้งทางด้านพลังงาน โรงกลั่น ทางหลวง การคมนาคม ระบบการสื่อสาร ทรัพยากรทางมนุษย์ และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ และยังเป็นฐานการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมรถยนต์จากหลากหลายชาติ ซึ่งผลิตสินค้าสู่ตลาดกว่า 130 ประเทศ ทำให้เป็นสถานที่ตั้งที่ดึงดูดการลงทุนมูลค่ามหาศาลจากทั่วโลก ดังนั้นจึงเกิดผู้พัฒนาที่ดินเพื่อรองรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHA คือหนึ่งในผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทย ที่ดินนิคมอุตสาหกรรมและที่ดินสร้างโรงงาน รวมถึงโรงงานและคลังสินค้าสำเร็จรูป พร้อมด้วยบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร

ซึ่ง ไกรลักขณ์ อัศวฉัตรโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ WHA ระบุว่า WHA ดำเนินธุรกิจหลัก 4 กลุ่ม ซึ่งบริษัทให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อม และการหานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับธุรกิจ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน คว้าโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตไปในทิศทางที่สอดคล้องกับบริบทของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน จะช่วยผลักดันให้ WHA บรรลุเป้าหมายที่จะก้าวเป็นบริษัทเทคโนโลยีอย่างเต็มตัวในปี 2567 ด้วยศักยภาพจากการสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่ครบวงจรและแข็งแกร่งของเรา ล้วนมีส่วนช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายภายใต้พันธกิจ WHA: WE SHAPE THE FUTURE ในการสร้างคน สังคม สิ่งแวดล้อม ตลอดจนพัฒนาประเทศชาติอย่างยั่งยืน”

ทั้งนี้ WHA วางเป้าหมายที่จะก้าวเป็นบริษัทเทคโนโลยีอย่างเต็มตัวในปี 2567 ภายใต้ WHA: WE SHAPE THE FUTURE ในการสร้างคน สังคม สิ่งแวดล้อม ตลอดจนพัฒนาประเทศชาติอย่างยั่งยืน ผ่าน 4 ธุรกิจหลักประกอบด้วย

กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ นับเป็นจุดเริ่มต้นของ WHA ก่อนที่จะเริ่มขยายไปสู่กลุ่มธุรกิจอื่นๆ คือการให้บริการ คลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และโรงงานระดับพรีเมียม รวมไปถึงอาคารโรงงานและคลังสินค้าในรูปแบบBuilt-to-Suit ในปี 2546 ปัจจุบันมีพื้นที่รวมกว่า 2.9 ล้านตารางเมตร บนทำเลจุดยุทธศาสตร์ 52 แห่งทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตาม ไกรลักขณ์ ระบุว่า WHA กรุ๊ป ได้มีการทำโครงการ Green Logistics โดยนำเทคโนโลยีสีเขียวมาปรับใช้กับกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์  เช่น การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในการขนส่งสินค้า สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า การใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นแหล่งพลังงานของสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นศูนย์กลางในการควบคุมการดำเนินงานของยานยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ของประเทศในระยะยาว

ขณะที่ กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ ในฐานะผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมคุณภาพระดับโลก ด้วยโครงสร้างพื้นฐาน และบริการสาธารณูปโภคครบวงจร ได้แก่ การผลิตน้ำประปา การบำบัดน้ำเสีย การทิ้งและฝังกลบขยะ และการผลิตพลังงานไฟฟ้า ปัจจุบัน WHA มีนิคมอุตสาหกรรมทั้งสิ้น 13 แห่งบนพื้นที่กว่า 71,300 ไร่ ทั้งในประเทศไทยและประเทศเวียดนามขายโครงการไปแล้วเกิน 80% และยังอยู่ในขั้นพัฒนาอีก 2 โปรเจกต์

ทั้งนี้ บริษัทกำลังพัฒนาอีก 5 โปรเจกต์ โดยโปรเจกต์ที่อยู่ติดกับนิคมเดิม จะเป็นการลงทุนส่วนขยายโปรเจกต์ที่ไม่ได้อยู่ติดกับนิคมอุตสาหกรรมเดิมนั้น จะพัฒนาใหม่โดยคาดจะใช้เวลาในการพัฒนา 2-3 ปี ซึ่งการพัฒนาจะใช้คอนเซปต์คลัสเตอร์ เพราะการผลิตที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุด ซัพพลายเชนจะต้องอยู่ใกล้กันเพื่อเสริมสร้างซึ่งกันและกัน นั่นคือหลักการออกแบบนิคมของ WHA

“บทบาทสำคัญในการก่อตั้งคลัสเตอร์อุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และปิโตรเคมีในโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งตะวันออก หรืออีสเทิร์นซีบอร์ด และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี สะท้อนถึงศักยภาพและการบูรณาการด้านการส่งเสริมการลงทุนอันโดดเด่นของประเทศไทย และด้วยมาตรฐานการจัดการนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมยุคใหม่” ไกรลักขณ์ กล่าว

ส่วน กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคและไฟฟ้า ซึ่งดำเนินการบริษัทในเครือบริษัทดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ให้บริการด้านระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ให้กับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงการร่วมลงทุนด้านไฟฟ้า โดยเน้นการพัฒนาพลังงานทดแทนเพื่อรองรับลูกค้าทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงลดการปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศ

ปัจจุบันได้ดำเนินโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำของบ่อเก็บน้ำดิบ หรือ Floating Solar ภายในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง) ที่มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับบริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (AAT) กำลังผลิตไฟฟ้าขนาด 8 เมกะวัตต์ และสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศได้กว่า 5,400 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี ซึ่งโครงการนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2567

นอกจากนี้ ยังมี Solar Carpark บนหลังคาที่จอดรถขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่ ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี (ประเทศไทย) โดยมีพื้นที่หลังคารวม 59,000 ตารางเมตร มีขนาดไฟฟ้ารวม 7.7 เมกะวัตต์ และพร้อมเปิดดำเนินการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2567 และSolar Rooftop ปริงซ์ เฉิงซาน ไทร์ (ประเทศไทย) จำกัด กำลังผลิตไฟฟ้าขนาด 24.24 เมกะวัตต์ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 18,300 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี

และ กลุ่มดิจิทัล โซลูชัน โดยหนึ่งในไฮไลต์ของนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป คือ ศูนย์ควบคุมส่วนกลาง หรือ UOC ที่ตั้งอยู่ภายในอาคารดับบลิวเอชเอ ทาวเวอร์ ถนนเทพรัตน สมุทรปราการ ศูนย์เฝ้าระวังและควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ระบบกล้องวงจรปิดรักษาความปลอดภัย ระบบควบคุมการจราจร และศูนย์ควบคุมระบบน้ำและระบบบําบัดน้ำเสีย ซึ่งเป็นการบูรณาการข้อมูลที่จะแสดงข้อมูลในพื้นที่ปฏิบัติงานต่างๆ ของกลุ่มบริษัท แสดงผลการตรวจสอบแบบเรียลไทม์

นอกจากนี้ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ได้นำกระบวนการ “Reverse Osmosis (RO)” มาประยุกต์ใช้ใน โรงงานผลิตน้ำระบบอาร์โอ เพื่อเป็นมาตรฐานการจัดการการใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดในนิคมอุตสาหกรรม โดยผลิตน้ำ​ 2 ประเภท คือ Permeate คือน้ำที่สามารถนำไปใช้ในกระบวนการผลิตได้ และ Concentrate คือน้ำที่มีความเข้มข้นของสารละลายในน้ำสูง ซึ่งไม่สามารถใช้ในกระบวนการผลิตได้ แต่นำมาใช้แทนน้ำดิบหรือใช้ประโยชน์ในการชำระล้างพื้นภายในโรงงาน รดน้ำต้นไม้ เป็นต้น

“ผลการดำเนินงานปี 66 คาดรายได้ทำ All time high จากการขยายตัวของธุรกิจทั้ง 4 กลุ่ม ขณะที่ปี 67 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ลุ้นทำ New High อีกครั้ง” ไกรลักขณ์ กล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

WHA จับมือ GC เสริมแกร่งธุรกิจโลจิสติกส์ พร้อมผสานความเชี่ยวชาญ มุ่งขยายธุรกิจเพิ่มเติม

กรุงเทพมหานคร วันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA) และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด มหาชน (GC) ประกาศร่วมทุนในธุรกิจโลจิสติกส์ เพื่อการพัฒนาศักยภาพ

เรียบร้อย ! “อนุทิน” ปิดจ็อบประชุมสมัชชาอนามัยโลก พาไทยจับมือ WHO ตั้ง BIOHUB พัฒนายา วัคซีน สู้โรคระบาด ด้าน “ดร.เท็ดรอส” โพสต์ขอบคุณ ไทยฉีดวัคซีนโควิดฯ ถึงเป้า

25 พฤษภาคม 2565 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ระหว่างการประชุมสมัชชาอนามัยโลก (WHA) สมัยที่ 75 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล