"เดอะ พิซซ่า คอมปะนี" ลุยขยายฐานลูกค้า เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์สร้างแบรนด์ดันยอดขายพุ่ง

22 ก.พ. 2567 – นายธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจในปี 2566 นับว่าเป็นปีที่ดีของบริษัทเป็นอย่างมาก โดยทำลายสติได้ในหลายมิติ ทั้งในเรื่องของยอดขายที่เติบโตสองหลัก และกำไรที่โตระดับร้อยเปอร์เซ็น นับว่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท  ขณะเดียวกันในเรื่องความถึงพอใจของลูกค้า ยังอยู่ในระดดับสูงสุดนับตั้งแต่มีการวัดระดับความพึงพอใจ โดยยอดขายหลักของบริษัทมาจากแบรนด์เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ซึ่งในปีนี้จะมีการยกระดับแบรนด์ให้มากขึ้นอีกด้วย

นายปัทม์ พงษ์วิทยาพิพัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดพิซซ่ามีมูลค่าประมาณ 1-1.1 หมื่นล้านบาท ยังมีการเติบโตอยู่ที่ 10%  และมีผู้เล่นที่ต้องการเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยแบรนด์เป็นผู้นำที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 70% โดยจากกลยุทธในปีที่ผ่านมาทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จในทุกช่องทาง ทั้งในส่วนของช่องทางเดลิเวอรี่ที่มีสัดส่วนขึ้นมาถึง 45% จากช่วงก่อนโควิดอยู่ที่ 25% ขณะที่การรับประทานภายในร้านคิดเป็นสัดส่วน 30% และการซื้อกลับบ้านอีก 25%

“ในปีที่ผ่านมา เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ได้รีแบรนด์ครั้งใหญ่ มีการปรับเปลี่ยนโลโก้ใหม่ทั้งตัวอักษรและรูปแบบ เน้นสีเขียวที่คนรุ่นใหม่ชื่นชอบ การปรับยูนิฟอร์มของพนักงานให้ดูทันสมัยยิ่งขึ้น ไปจนถึงการออกแบบร้านให้มีความสว่างและเรียบง่ายมากขึ้น เพื่อให้แบรนด์มีความทันสมัย พร้อมเล่มเมนูที่มีอาหารหลากหลายมากขึ้น เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจากการดำเนินกลยุทธ์ข้างต้น ส่งผลให้ผลประกอบการของเดอะ พิซซ่า คอมปะนี ตลอดปี 2566 เติบโต 10% เมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า”  นายปัทม์ กล่าว

สำหรับในปี 2567 เดอะ พิซซ่า คอมปะนี เดินหน้าสร้างการเติบโตแบบเต็มกำลังพร้อมขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ล่าสุดกับการดึง “บิวกิ้น – พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล” พร้อมด้วย “พีพี – กฤษฏ์อำนวยเดชกร” สองนักแสดงและนักร้องชื่อดัง นั่งแท่นพรีเซนเตอร์ร่วมกันเป็นครั้งแรก เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ในวงกว้าง เชื่อมั่นว่าการเปิดตัวพรีเซนเตอร์คู่ใหม่ในครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุนภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้มีความสดใหม่ เสริมสร้างความใกล้ชิดกับผู้บริโภค ตลอดจนเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ดี บริษัทยังเตรียมเงินลงทุนไว้ที่ 200-250 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาใหม่ 25 สาขา จากปีที่แล้วเปิดให้บริการเพิ่มไป 30 สาขา ส่งผลให้ปัจจุบันมีสาขาเปิดให้บริการประมาณ 420 ล้านบาท  เชื่อว่าจากความมุ่งมั่นในการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ การยกระดับบริการทั้งหน้าร้านและเดลิเวอรี รวมถึงการนำเสนอโปรโมชันที่คุ้มค่าอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี จะสามารถสร้างการเติบโตของยอดขายได้ไม่น้อยกว่า 15%

เพิ่มเพื่อน