
นับว่าเป็นกระแสแรงแห่งปี 2567 สำหรับ “หมูเด้ง” ฟีเวอร์ ฮิปโปโปเตมัสแคระแห่งสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ที่ไม่ได้โด่งดังเพียงแค่เฉพาะในไทย แต่ยังขยายไปสู่วงกว้างทั่วโลก ทำให้ผู้คนจากทั่วโลกอยากมาสัมผัสความน่ารักของน้องหมูเด้งกันอย่างต่อเนื่อง เกิดปรากฎการณ์คิวยาวเหยียดตั้งแต่ทางเข้าสวนสัตว์เลยก็ว่าได้ วันนี้หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ “ณรงค์วิทย์ ชดช้อย ผู้อำนวยการสวนสัตว์เปิดเขาเขียว” ผู้ที่เรียกว่าอยู่ในวงการของสวนสัตว์มาหลายสิบปี แม้ว่าจะมีส่วนร่วมในงานของสวนสัตว์ต่างๆ หลายแห่งมาก่อนหน้า แต่การเข้ารับตำแหน่งที่สวนสัตว์เขาเขียวเริ่มต้นเมื่อเดือนตุลาคม 2566 และจากวิสัยทัศน์ บวกกับความสามารถด้านครีเอเตอร์ของเบนซ์ – อรรถพล หนุนดี Zookeeper แอดมินเพจขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง และพนักงานทุกคนของสวนสัตว์แห่งนี้ ทำให้ชื่อของสวนสัตว์เปิดเขาเขียวกลับมาได้รับความสนใจและมีผู้เข้าชมที่ล้นหลาม
จาก“กางเกงกะปิปลาร้า”สู่ “หมูเด้ง’ ฟีเวอร์
ณรงค์วิทย์ เริ่มเล่าว่า ก่อนที่ตัวเองจะได้เริ่มเข้ามาบริหารนั้น ต้องบอกว่าภาพรวมภายในสวนสัตว์เขาเขียวอาจจะค่อนข้างทรุดโทรม เนื่องจากยังไม่มีการจัดระเบียบของพื้นที่ให้เป็นไปตามมาตรฐาน นอกจากนี้ ในช่วงนั้นทางสวนสัตว์เองยังไม่ได้มีการใช้กลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยโซเชียลมีเดียแต่อย่างใด
หากย้อนกลับไปในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ สวนสัตว์ฯ มีแนวความคิดว่าจะเปิดตัว Capybara (คาปิบารา) แม้ว่าจะมีการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับสัตว์ดังกล่าว แต่ก็มองว่าเพียงแค่กิจกรรมอย่างเดียว อาจจะไม่ได้ช่วยดึงดูดผู้ชมเข้ามามากนัก จึงเห็นว่าควรมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Capybara (คาปิบารา) ออกมา ซึ่งในช่วงนั้นมองว่ากางเกงช้างเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะเป็นที่นิยมของต่างชาติและคนไทยใส่ไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆ จึงได้มีการพัฒนาเป็น “กางเกงกะปิปลาร้า” ขึ้นมา และมีผลตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่องทางโซเชียลมีเดีย ทำให้เกิดเป็นกระแสไวรัล รวมถึงรายการดังก็มีการพูดถึงกระแสที่เกิดขึ้น บวกกับการโปรโมทและส่งเสริมกางเกง Soft Power ต่างๆ ก็ยิ่งทำให้ถูกพูดถึงมากขึ้น ยอดสั่งจองเข้ามาเยอะมาก รวมถึงยอด Engagement ก็ค่อนข้างสูง จากข้อมูลในช่วงแรกตอนนั้นเป็นรองแค่เพียงกางเกงปลาทูแม่กลอง ที่เปิดตัวมาก่อนหน้าเท่านั้นเอง
ทั้งนี้ จากกระแสของกางเกงกะปิปลาร้าที่เกิดขึ้น ทำให้เห็นว่าผู้คนเริ่มหันมาสนใจสวนสัตว์มากขึ้น ซึ่งการใช้สื่อโซเชียลนับว่าสามารถสร้างการรับรู้ได้อย่างวงกว้าง บวกกับการที่ เบนซ์ – อรรถพล มีเพจขาหมูแอนด์เดอะแกงค์ ซึ่งมีฐานแฟนคลับอยู่แล้ว จึงใช้เพจดังกล่าวเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อน เห็นได้ชัดว่าหลังจากมีกระแสที่เกิดขึ้น ก็มียอดผู้ติดตามเติบโตสูงขึ้นอย่างมากอีกด้วย

ณรงค์วิทย์ ยังเล่าถึงกระแสฟีเวอร์ของ “หมูเด้ง” ที่เกิดขึ้นด้วยว่าความจริงแล้วลูกสัตว์ที่เกิดทุกตัว จะมีการตั้งชื่อ ทั้งตั้งเองและให้โหวต ซึ่งบังเอิญว่าฮิบโปแคระอยู่ในความรับผิดชอบของเบนซ์ มองว่าอยากต่อยอดจากกระแสกางเกงกะปิปลาร้าที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้า ซึ่งจริงๆ กรณีหมูเด้งไม่ได้คาดคิดว่าจะกลายมาเป็นกระแสทั่วโลก โดยในช่วงที่หมูเด้งเกิดก็วางแผนให้มีการสื่อสารเรื่องราวบนเพจ อัปคลิปไปได้ไม่กี่วันก็เริ่มมีกระแส “มาแล้วน้องสาวหมูตุ๋น” จากนั้นก็มองว่าประชาชนควรจะมีส่วนร่วม เพราะเริ่มมีคนทั่วไปสนใจอยากตั้งชื่อ
หลังจากอ่านคอมเมนต์ก็มีการสรุปที่สามชื่อ ได้แก่ หมูสับ หมูแดง หมูเด้ง จึงให้ประชาชนได้โหวตจากสามชื่อดังกล่าว ก็ได้ประมาณสองหมื่นกว่าโหวต ซึ่งถือว่าค่อนข้างเยอะและนับเป็นปรากฎการณ์ และผลคะแนนส่วนมากก็เทไปให้ชื่อ “หมูเด้ง” ซึ่งเหมาะกับพฤติกรรมของเขาที่คล้ายชื่อ จึงมาคิดกันต่อว่ากระแสแบบนี้จะสร้างการรับรู้อะไรต่อ “ชื่อของหมูเด้ง พฤติกรรมความน่ารัก และการมีส่วนร่วมคือปัจจัยแรก และน้องเบนซ์เป็น Keeper ที่มีความครีเอท ความลงตัวเกิดขึ้น กระแสเกิดขึ้นทั่วประเทศ แน่นอนว่าอำเภอศรีราชาคือโอซาก้าเมืองไทย คนญี่ปุ่นมาเที่ยวก็เอาไปโพสต์ เลยกลายเป็นกระแส ศิลปินวาดแฟนอาร์ตขึ้นมา ก็กระจายไปที่ญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นมาเที่ยว สำนักข่าวญี่ปุ่นมาทำข่าว และกระจายออกไปเรื่อยๆ เราก็ย้อนกลับมาดูโมเดลกะปิปลาป้า เลยผลิตชุดหมูเด้งขึ้นมา เป็นแรร์ไอเอ็ม เพราะตอนนี้ไม่มีแล้ว กระแสก็กระหน่ำเข้ามาอีก เนื่องจากอยากได้ผลิตภัณฑ์ของหมูเด้ง”
จากนั้นพอเริ่มมีกระแสไปถึงญี่ปุ่น ก็เริ่มมีการใช้โซเชียลมีเดียอื่นๆ เช่น Instagram, TikTok และ X ก็เริ่มมีสื่อของทางเกาลีใต้เข้ามาทำข่าว และไปต่อยังจีน สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ทำให้บางสวนสัตว์มีการอัปรูปความน่ารักสัตว์ของประเทศเขาเช่นกัน แต่กระแสก็ยังไม่หยุดและกระจายไปโซนยุโรป เริ่มที่ฝรั่งเศส เยอรมัน จากนั้นก็ไปอเมริกาอย่าง NFL และที่เป็นกระแสเลยจริงๆ คือรายการ Saturday Night Live รวมถึงสื่อและนิตยสารชื่อดังต่างๆ ก็ให้ความสนใจในตัวน้องหมูเด้ง
“เรายังพยายามเกาะกระแสต่างๆ ที่เกิดขึ้น อาทิ ในช่วงของการเลือกตั้งเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ก็มีการให้หมูเด้งทำนายว่าใครจะเป็นผู้ชนะ ซึ่งหมูเด้งเลือก Donald Trump และ Donald Trump ก็เป็นผู้ชนะ หรือในช่วงเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว ก็มีการโพสต์ภาพของหมูเด้งผิวแตก เพราะเขาเป็นราชินีแห่งมีม นั่นคือสิ่งที่ชาวโซเชียลบอก และยังมีความน่ารักหลายๆ อย่างของหมูเด้ง เราพยายามดึงคาแรคเตอร์ของสัตว์ออกมา คนที่มาเที่ยวมีการหาข้อมูลสัตว์มาแล้ว เรามองโซเชียลมีเดียเป็นหัวใจ บวกกับเบนซ์ที่มีความครีเอท กลายเป็นได้สื่อสารและให้ข้อมูลต่างๆ ในสวนสัตว์ผ่านช่องทางออนไลน์ นั่นคือหัวใจการสร้างการรับรู้ของเรา”

ปั้นพี่เลี้ยงสัตว์สู่ Content Creator
จากความสำเร็จของกระแสหมูเด้ง จึงมองเห็นโมเดลรูปแบบหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่า Zookeeper เป็นหัวใจสำคัญโดยเฉพาะการแสดงให้เห็นถึงมาตรฐานการจัดการด้านสวัสดิภาพสัตว์ จึงอยากนำมาต่อยอดสู่ Zookeeper คนอื่นๆ เพื่อนำเสนอผ่านออนไลน์สู่สายตาชาวโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสัตว์แต่ละตัวว่ามีคาแรคเตอร์อย่างไร พฤติกรรมเป็นแบบไหน ทางสวนสัตว์มีพี่เลี้ยงในการดูแลสัตว์หลายคน และพยายามทำช่องทางออนไลน์กันเอง ในประเด็นดังกล่าวเป็นสิ่งที่สวนสัตว์พยายามจะส่งเสริมและให้ความสำคัญ คนที่ไม่กล้านำเสนอผ่านโซเชียล ก็จะมีการอัพสกิล รีสกิล บุคคลากรให้กล้านำเสนอผ่านโซเชียลมีเดียแบบสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลพื้นที่ กิจกรรมลูกค้าสัมพันธ์ ความหลากหลายทางชีวภาพ นี่คือสิ่งที่มองว่าโซเชียลมีเดียมีความสำคัญกับการพัฒนาองค์กรยุคนี้
ปัจจุบันรายได้ของสวนสัตว์เปิดเขาเขียวมาจากจำหน่ายบัตรประมาณ 70% ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 30% จะเป็นรายได้จากการดำเนินการเชิงธุรกิจ อาทิ รถกอล์ฟ ร้านอาหาร ที่พัก ซึ่งจากกระแสของหมูเด้งทำให้ภาพรวมมีการเติบโตเกินกว่าที่คาดการณ์ 30% ขณะที่แนวโน้มปีหน้ามองว่าจะยังรักษากระแสของหมูเด้งไว้ไม่ให้ตก คงระดับความน่ารัก ความเป็นราชินีแห่งมีมและคอนเทนต์ และพยายามจะสร้างตัวสัตว์ที่มีคาแรคเตอร์น่ารักๆ ออกมา ผ่านการนำเสนอของพี่เลี้ยงสัตว์ แน่นอนว่าจะมีสัตว์ที่ได้รับมาใหม่หรือเกิดใหม่ ก็จะมีการนำเสนอผ่านคอนเทนต์โดยผู้ดูแล
ล่าสุดยังจะได้เห็น “หมูตุ๋น” ยกขันหมากสู่ขอ “หมูมะนาว” ที่สวนสัตว์โคราช โดยสินสอดคือ น้องหมูกรอบ เพื่อมีการอัพสายพันธุ์ หรือแม้แต่ตัว Sloth ก็มีการจับคู่แล้วเช่นกัน ถ้ามีลูกเกิดใหม่ก็จะมีคนเข้ามาเยี่ยมชม ในส่วนนี้ต้องจับกระแสดูผู้ติดตาม แม้แต่ตัว Capybara (คาปิบารา) ก็ยังมีผู้ติดตามอยู่ ในปีหน้าเน้นหนักไปที่การนำคาแรคเตอร์สัตว์แต่ละชนิดบวกความเป็นครีเอเตอร์ของพี่เลี้ยงสัตว์ รักษากระแสของการเข้มาเที่ยวสวนตัวต์ต่อไป
ดันสวนสัตว์เปิดเขาเขียวติดท็อปของโลก
ณรงค์วิทย์ ยังกล่าวอีกว่า ในปัจจุบันพฤติกรรมการท่องเที่ยวก็เปลี่ยนไปจากเดิม ก่อนหน้าคงคุ้นเคยกับภาพที่พ่อแม่มักพาเด็กๆ มาเที่ยวสวนสัตว์ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่ากลุ่มคนรุ่นพ่อแม่มาเที่ยวเพื่อระลึกความหลังกันมากขึ้น โดยลูกๆ จะเป็นคนพาพ่อแม่เข้ามา แต่สำหรับกลุ่มผู้ปกครองที่พาเด็กๆ มาเที่ยวก็ยังมีอยู่ เพียงแต่อาจจะไม่เป็นกระแสแบบเมื่อก่อน รวมถึงกลุ่มคนที่ไม่เคยคิดจะมาเที่ยวสวนสัตว์ก็มีมากขึ้น บางคนบินมาจากต่างประเทศก็มี ทุกวันนี้จะเห็นภาพจากคนที่ไม่คิดจะมาก็มา จากคนที่ไม่เคยมาเที่ยวก็มาเที่ยว หรือคนเคยเที่ยวเมื่อ 30 ปีที่แล้วก็กลับมา
ทั้งนี้ ทำให้ในปีที่ผ่านมาสวนสัตว์เปิดเขาเขียวมีผู้เข้าชมประมาณ 1.2 ล้านคน แบ่งเป็นต่างชาติ 30% ที่เหลือเป็นคนไทยประมาณ 70% ซึ่งภาพรวมในปีนี้ยังพบว่า มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเยอะขึ้น เนื่องจากกระแสหมูเด้งที่โด่งดังไปทั่วโลก บวกกับปัจจัยเรื่องของอากาศหนาวจัดและยาวนานทางแถบยุโรปและรัสเซีย มองว่าจะทำให้กลุ่มนักท่องเที่ยวดังกล่าวเข้ามามากขึ้น ส่วนตลาดเอเชียก็คาดหวังว่าจีนจะกลับมา รวมถึงตลาดอินเดียเองก็น่าจะกลับมา
“ตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งปีแรก ก็มีการวางเป้าหมายไว้ว่า ต้องการนำสวนสัตว์เปิดเขาเขียวกลับมาเป็นท็อป 5 ของเอเชีย และติดท็อป 10 ของโลก โดยเมื่อปี 2558 เคยเป็นอันดับ 13 มาก่อน ผมเลยมองว่าเราก็ต้องมีเป้าหมายในการทำงาน การทำงานยุคใหม่ต้องตั้งเป้าหมายและต้องท้าท้าย และร่วมกับพนักงานทุกท่าน ถ้าเราจะไปได้ต้องมี 1. ยกระดับให้มีการดูแลสวัสดิภาพของสัตว์ที่ดีที่สุด 2 เป็นแหล่งท่องเที่ยวมีมาตรฐานสากลที่ดีที่สุด ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะนำพาไปสู่เป้าหมายได้ ควบคู่ไปกับกิจกรรม ยกระดับพี่เลี้ยงสัตว์ ยกระดับสายพันธุ์ ประชากรสัตว์ และส่วนตัวผมไม่ได้มีคติประจำตัวอะไร แต่การทำงาน เราเคยผ่านการเป็นลูกจ้างจนกลายมาเป็นผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงาน เราจะเข้าใจบริบทของคน เราจะต้องมีวิธีการบริหารคนยังไง แต่สิ่งสำคัญคือต้องทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เพราะเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ทำให้คนตามไม่ทัน แต่เราต้องพัฒนาคนให้ตามให้ทันโลก เรามีคนสามรุ่นในองค์กร ทำยังไงก็ได้ให้คนทั้งสามเจนทำงานร่วมกันให้ได้ และมีเป้าหมายเดียวกัน” ณรงค์วิทย์ กล่าว

ดันยอดการท่องเที่ยวชลบุรีโตกระฉูด
ทพญ.ณัฏฐ์ศรัย ชัยจินดารัตน์ เจ้าของโรงแรม เซ็นทารา ซันไรซ่า ศรีราชา ในฐานะนายกสมาคมการท่องเที่ยวและบริการ ศรีราชา-เกาะสีชัง ระบุว่า กระแสของหมูเด้งทำให้เกิดแบรนด์อิมเมจให้กับหลายพื้นที่ในจังหวัดชลบุรี ไม่ว่าจะเป็นบางแสน พัทยา ศรีราชา รวมถึงเกาะสีชัง มองว่าจะทำให้การท่องเที่ยวเติบโตมากขึ้น 10-15% โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และไม่ได้เดินทางเข้ามาเพียงแค่เข้าชมหมูเด้งในสวนสัตว์เขาเขียว แต่ยังเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่อื่นๆ ด้วย สะท้อนว่าหมูเด้งเป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่ง ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติเข้ามาอย่างมาก
สำหรับอัตราการเข้าพักในช่วงก่อนจะมีกระแสหมูเด้งจะอยู่ที่ 40-50% พอหลังจากความฟีเวอร์ที่เกิดขึ้น ก็ทำให้ตัวเลขขยับมาอย่างต่อเนื่องเป็นประมาณ 60% ซึ่งการที่น้องหมูเด้งเกิดมาในช่วงโลว์ซีซั่น ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยดึงนักท่องเที่ยวเข้ามามากกว่าเดิม โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาจะเป็นตลาดจีนและสิงคโปร์ ซึ่งจริงๆ จังหวัดชลบุรีจะมีนักท่องเที่ยวหลากหลายอยู่แล้ว ขณะที่ทางเกาะสีชังเองมีนักท่องเที่ยวไม่กี่หมื่นคนต่อปี ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ เป็นกลุ่มสูงวัยที่ลูกหลานพามาเที่ยว และเกาะสีชังยังมีจุดถ่ายรูปที่สวยงามมากอีกด้วย

ส่วนภาพรวมการท่องเที่ยวในชลบุรีปี 2567 ปรับตัวดีขึ้นและแซงโควิดไปแล้ว นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาจะเป็น อินเดีย เวียดนาม จีน รัสเซีย และเกาหลีใต้ แต่ถ้าจบปีนี้จีนน่าจะไต่อันดับเข้ามาด้วยฟรีวีซ่า แต่พฤติกรรมของคนจีนจะใช้จ่ายไม่เยอะเท่าไหร่ และจะอยู่ไม่เกิน 7 วัน เป็นไปตามสภาวะเศรษฐกิจของเขา แต่ก่อนชลบุรีจะมีนักท่องเที่ยวฝั่งยุโรปเข้ามาเยอะ แต่จากปัญหาเศรษฐกิจที่มีทั่วโลก ทำให้ได้รับผลกระทบ แต่ยุโรปจะยังคงพำนักค่อนข้างนานกว่า
สำหรับการท่องเที่ยวในปี 2568 มองว่าจะยังคงดี เนื่องจากค่าเงินบาทที่อ่อน ทำให้นักท่องเที่ยวเข้าไทยจะมองว่าราคาถูก แม้ว่าในจังหวัดชลบุรีจะมีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมาก และมีการปรับตัวลดลงไปมากถึง 30% โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ แต่ในภาคการท่องเที่ยวยังดีอยู่ ส่วนเทรนด์ที่มาแรงของชลบุรี คือแคมป์ปิ้ง คอนเสิร์ต ให้อารมณ์เหมือนเขาใหญ่ อย่างโซนพัทยาก็มีการจัดงานระดับโลกหลายงาน ศรีราชาก็มีงานกีฬาระดับชาติ

ทพญ. ณัฏฐ์ศรัย ยังกล่าวอีกว่า ในปีหน้าการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนจะเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่ผู้คนสนใจ นักท่องเที่ยวคำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก หรือแม้แต่การที่โรงแรมจะเข้าไปอยู่ในแพลตฟอร์มการจองโรงแรมได้ ก็ต้องเป็นโรงแรมที่มีมาตรฐานตามกำหนด หรือเป็นโรงแรมสีเขียว รวมถึงเรื่องของการนำ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับโรงแรมและบุคคลากร ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องปรับตัวในปีหน้า
อย่างไรก็ดี ข้อมูลโดยรวมของจังหวัดชลบุรี โดยกรมการท่องเที่ยวเดือนตุลาคม 2567 พบว่า มีผู้เยี่ยมเยือน2,551,424 คน รายได้ 26,919.40 ล้านบาท โดยยอดสะสมตั้งแต่มกราคม – ตุลาคม มีผู้เยี่ยมเยือน 22 ล้านคน รายได้การท่องเที่ยว 235,795.26 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนชาวต่างชาติต่อคนไทย 57.22% : 42.78%
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘อิ๊งค์’ ขายฝันดันสงขลาขึ้นแท่นแหล่งท่องเที่ยวลักซูรี่-เรือครูซ ก่อนถูกชาวบ้านทวงค่าเยียวยาน้ำท่วม
‘แพทองธาร’ ลงพื้นที่สงขลา ขายฝันดันขึ้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับลักซูรี่ ทั้งจะมีเรือครูซแวะจอดแบบเดียวกับภูเก็ต แต่ระหว่างชมเมืองเก่าสงขลา ถูกชาวบ้านเข้าทวงถามเงินเยียวยา