คลังเฮ! R&I คงอันเครดิตไทย ชี้เศรษฐกิจปี 68 โตต่อ ห่วงสูงวัยพรึ่บถ่วงงบ

คลังเฮ! บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ R&I คงเครดิตไทย พร้อมประเมินเศรษฐกิจปี 2568 ยังขยายตัวต่อเหนื่อง อานิสงส์รัฐเร่งเครื่องใช้จ่าย-ท่องเที่ยวฟื้น-บริโภคโต คาดปี 2572 ขาดดุลทางการคลังทยอยลดจนอยู่ที่ 3% จับตาประชากรสูงวัยพรึ่บถ่วงภาระงบประมาณ

21 ม.ค. 2568 – นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2568 บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Rating and Investment Information, Inc. (R&I) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ A- และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)

โดย R&I คาดว่า เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงฟื้นตัวและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริง (Real GDP Growth) จะเติบโตอยู่ที่ 2.6% ในปี 2567 และขยายตัวต่อเนื่องในปี 2568 อันเป็นผลจากการใช้จ่ายของภาครัฐที่สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ การขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน และการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งภาคการส่งออกสินค้าที่มีแนวโน้มขยายตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

ทั้งนี้ แม้ว่าการขาดดุลทางการคลังจะยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างสูงที่ 4.3% ในปี 2567 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น4.5 % ในปี 2568 แต่จะเริ่มทยอยลดลงตั้งแต่ปี 2569 จนอยู่ที่ 3% ในปี 2572 ซึ่งเป็นผลส่วนหนึ่งจากการดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัวเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้ระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพี อยู่ที่ 63% ในปี 2567 โดย R&I เชื่อว่ารัฐบาลจะสามารถบริหารจัดการหนี้สาธารณะเพื่อรักษาระดับหนี้สาธารณะไม่ให้เกินกรอบกฎหมายที่กำหนด อีกทั้งหนี้สาธารณะส่วนใหญ่เป็นการออกพันธบัตรรัฐบาลในประเทศ ซึ่งตลาดการเงินยังคงมีสภาพคล่องสูงเพียงพอที่จะสามารถรองรับการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มสูงขึ้น จึงไม่มีความเสี่ยงในการจัดหาแหล่งเงินทุนของภาครัฐ

นอกจากนี้ R&I มองว่ารัฐบาลไทยจำเป็นต้องมีการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศด้วยการสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ พร้อมกับการยกระดับมูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมเพื่อที่จะดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Investments) ผ่านการลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมถึงมาตรการสนับสนุนการลงทุนที่หลากหลายเพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ โดยคาดว่าการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตในด้านอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และยานยนต์ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่สำคัญ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ต่อไป

สำหรับภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) มีความแข็งแกร่งและทุนสำรองระหว่างประเทศยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง จากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ 2.5% ต่อจีดีพีในปี 2567 และคาดว่าในปี 2568 ดุลบัญชีเดินสะพัดจะยังคงเกินดุลอยู่ในระดับเดียวกันที่ 2.5% จากการมีเสถียรภาพของราคาพลังงาน และการเติบโตของรายได้จากภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกสินค้า (Goods Exports) เป็นสำคัญ

อย่างไรก็ดี ปัจจัยสำคัญที่ R&I จะติดตามสำหรับพิจารณาการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของประเทศไทย คือ การเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงวัยที่อาจจะส่งผลต่อภาระค่าใช้จ่ายของเงินงบประมาณ และมาตรการสนับสนุนการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมใหม่และการยกระดับมูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงการรักษาเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง