
‘สุริยะ’ ลงนาม LOI ร่วมกับท่าเรือโยโกฮาม่าจับมือพัฒนากิจการท่าเรือกรุงเทพ ลุยผุดอาคารผู้โดยสารรองรับเรือครุยส์ รองรับนักท่องเที่ยว สั่ง กทท. เร่งทำแผนมาสเตอร์แพลนภายใน 6 เดือน
23 ม.ค.2568 – นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังร่วมลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างการท่าเรือฯ และเมืองโยโกฮาม่า และประชุมร่วมกับบริษัท Yokohama-Cargo-Center (YCC) ว่า สำหรับการลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent : LOI) ฉบับใหม่ เพื่อยกระดับความสัมพันธ์และความร่วมมือในด้านการพัฒนากิจการท่าเรือ โครงสร้างพื้นฐานและพื้นที่หลังท่า ส่งเสริมการตลาด เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมพร้อมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้ชุมชนของทั้งสองท่าเรือ
ทั้งนี้ เพื่อก้าวเป็นท่าเรือที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชุมชน รวมทั้งการส่งเสริมความร่วมมือเชิงวิชาการระหว่างกัน โดยเมืองโยโกฮาม่าจะสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญเพื่อร่วมการศึกษาโครงการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพและการใช้ประโยชน์พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญ (Flagship Project) ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม อย่างไรก็ตามหลังจากลงนามครั้งนี้ มอบหมายให้ กทท. กลับไปจัดทำแผนแม่บท(มาสเตอร์แพลน) พัฒนาท่าเรือกรุงเทพให้แล้วเสร็จเป็นรูปธรรมใน 6 เดือน
ด้านนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานกรรมการ กทท. กล่าวว่า การเดินทางเยือนโยโกฮาม่าครั้งนี้ เป็นการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ครบรอบ 10 ปี ระหว่าง กทท. และเมืองโยโกฮาม่า แสดงถึงมิตรภาพและความร่วมมือระหว่างไทยกับญี่ปุ่นที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง และมั่นคงตลอด 10 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2557 อีกทั้งท่าเรือโยโกฮาม่ายังมีการพัฒนาท่าเรือที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล มุ่งเน้นการยกระดับการให้บริการท่าเรือที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย รวดเร็ว และแม่นยำ ส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของท่าเรือ เพื่อรองรับเรือขนาดใหญ่ พัฒนาพื้นที่หลังท่าเพื่อให้เกิดการบูรณาการที่เชื่อมโยงระบบการขนส่ง เพื่อลดปัญหาการจราจร และลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์
นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือ กล่าวว่า ภายหลังพิธีลงนามฯ และการหารือในครั้งนี้ ทราบว่าการพัฒนาในด้านต่างๆ ของท่าเรือโยโกฮาม่า มีแนวทางการพัฒนาและกำหนดนโยบายเช่นเดียวกับกระทรวงคมนาคมที่มุ่งเน้นการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาพื้นที่ท่าเรือกรุงเทพให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ทั้งนี้ ควบคู่กับการบริหารจัดการด้านจราจร ชุมชน และสิ่งแวดล้อม เพื่อก้าวสู่ Smart & Green Port รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งการเดินทางมาศึกษาดูงานในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับการท่าเรือฯ ในการแลกเปลี่ยนมุมมองการพัฒนาท่าเรือและสามารถนำมาปรับใช้กับการพัฒนาท่าเรือ รวมทั้งต่อยอดในโครงการต่างๆ เช่นการพัฒนาท่าเรือให้เป็นเมืองท่าและศูนย์กระจายสินค้า การพัฒนาศูนย์โลจิสติกส์ของท่าเรือโยโกฮาม่าสามารถเป็นหนึ่งในต้นแบบสำหรับโครงการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพ ได้แก่ โครงการพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าอาคารสำนักงาน และพื้นที่สนับสนุนท่าเรือกรุงเทพ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศได้ถึง 1.41 พันล้านบาท หรือประมาณ 0.01% ของ GDP
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รัฐบาลตีปี๊บรถไฟทางคู่ปาดังเบซาร์ ดันเศรษฐกิจภาคใต้
“รองโฆษกอนุกูล’ ลงพื้นที่ตรวจด่านปาดังเบซาร์ ติดตามความคืบหน้ารถไฟรางคู่ เชื่อมโยงท่องเที่ยวไทย - มาเลเซีย กระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่สร้างเงินหมุนเวียนภาคใต้