'วรภพ' สงสัย ทำไม่ยังดัน 'แจกเงินหมื่น' ต่อ ทั้งที่ไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ ด้าน 'เผ่าภูมิ' สวน หากกางตัวเลข โดยไม่มีอคติ จะเห็นว่ารัฐบาลปิดการบริหารปี 67 ได้ดี มีแรงเหวี่ยงต่อเนื่องถึงปี 68
20 ก.พ.2568 - นายวรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจา ต่อนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งมอบหมายให้นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มอบหมายให้นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้ตอบแทน
โดยนายวรภพ ถามถึงเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเป็นความคาดหวังของประชาชนต่อรัฐบาลชุดนี้ เนื่องจากภายหลังการประกาศจีดีพีของประเทศ ทั้งของไตรมาสที่ 4 และของปี 67 ซึ่งถือเป็นปีแรกภายใต้การบริหารของพรรคเพื่อไทย เติบโตได้เพียง 2.5% น้อยที่สุดในประเทศอาเซียน ถือว่าน้อยกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่ และจะมองว่ารัฐบาลสอบตกในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้หรือไม่ เนื่องจากพรรคเพื่อไทย เคยอวดอ้างว่า เศรษฐกิจจะโตถึง 5% ต่อปี ส่วนมาตรการเรือธงอย่างดิจิทัลวอลเล็ต หรือที่เปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า โครงการแจกเงินหมื่นนั้น ก็นำทุกองคาพยพมาทำกว่า 90% ของมาตรการกระตุ้นเศรษกิจทั้งหมด ก็อยู่ที่มาตรการนี้ และจะเกี่ยวพันไปถึงอนาคต แล้วเหตุใดมาตรการนี้ ที่ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่รัฐบาลจะยังคงเดินหน้าต่อ
นายเผ่าภูมิ กล่าวชี้แจง ถึงแรงเหวี่ยงทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นรายไตรมาส ซึ่งมีการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถือว่าเป็นการที่ทิศทางเศรษฐกิจผงกหัวขึ้นทุกปี ตัวเลขที่ออกมานั้น หากย้อนกลับไปในช่วงต้น หลายสำนักปรามาสเราว่า จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ที่ 2.1% หรือ 2.2% แต่สุดท้ายเราปิดได้ที่ 2.5% โดยส่วนต่าง 0.3-0.4% นี้ ถือว่ามหาศาลในทางเศรษฐกิจ เป็นการเติบโตสูงสุด ในรอบ 9 ไตรมาส รวมถึงตัวเลขด้านอื่นๆ ก็เติบโตขึ้นเช่นเดียวกัน และปี 68 ไตรมาสแรก เราก็คาดการณ์ว่า ตัวเลขจะออกมาดี มีแรงเหวี่ยงทางเศรษฐกิจต่อเนื่อง และยังมีมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกหลายเรื่อง
ส่วนโครงการแจกเงินหมื่นเฟสหนึ่งนั้น ยืนยันว่า เป็นการกระจายที่ถูกฝาถูกตัว ลงไปในจังหวัดที่มีสัดส่วนคนยากจนสูงเป็นจังหวัดแรกๆ และกระจายไปสู่ในทุกพื้นที่ ส่วนข้อกังวลที่ว่า เงินจะกระจุกอยู่ที่รายใหญ่นั้น กว่า 68% ลงไปที่รายย่อย และการที่ประชาชนใช้เงินหมดอย่างรวดเร็วภายใน 3 เดือน ก็ถือว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รวดเร็วรุนแรงทันท่วงที รวมถึงการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ในไตรมาสที่ 4 ก็เพิ่มขึ้นถึง 11% สูงสุดในรอบ 14 ไตรมาส
"ถ้าดูแค่ที่ตัวเลข ไม่ได้มีอคติ ผมคิดว่าคำตอบ เราคงเป็นคำตอบเดียวกัน โครงการนี้สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดี รัฐบาลสามารถปิดการบริหารเศรษฐกิจในปี 67 ได้ดี และมีแรงเหวี่ยงเชิงบวกส่งต่อไปถึงปี 68" นายเผ่าภูมิ กล่าว
นายเผ่าภูมิ ยังกล่าวถึงการกระจายเงินเฟสหนึ่ง ที่สามารถลดความเหลื่อมล้ำ ได้ 0.01% หากเปรียบเทียบกับระยะเวลา ถ้าไม่มีการทำอะไรเลย คือเวลาถึง 3 ปี ดังนั้น โครงการนี้ร่นระยะเวลาให้น้อยลง
นายวรภพ กล่าวย้อนคำให้สัมภาษณ์ของนายเผ่าภูมิ ซึ่งเคยคาดการณ์ว่า จะเติบโตมากกว่าตัวเลขที่เกิดขึ้นจริง และถามย้ำว่า สรุปแล้วมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะเป็นอย่างไรกันแน่ เนื่องจากเมื่อดูในรายละเอียดข้อมูลทางเศรษฐกิจ ระบุถึงปัญหาว่าอยู่ที่ภาคการผลิต ไม่ได้อยู่ที่การบริโภค เพราะเจอปัญหาสินค้าต่างชาติเข้ามาตีตลาด ซึ่งถือเป็นปัญหาที่เร่งด่วน และเป็นเรื่องสำคัญของเศรษฐกิจไทยในระยะสั้น เหตุใดรัฐบาลจึงยังไม่ทำอะไรเลย รวมถึงความกังวลของสถาบันทางการเงินที่ไม่ยอมปล่อยสินเชื่อ จากความไม่มั่นใจในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล ส่งผลให้เงินทุนในระบบลดลง หากเทียบกับโครงการแจกเงินหมื่น แล้ว งบประมาณอุดหนุนสถาบันการเงินกลับเป็นเสี้ยวเดียว ทั้งที่สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจได้มากกว่า
นายเผ่าภูมิ กล่าวถึงปัญหาการผลิต เรื่องการล้นทะลักของสินค้า ซึ่งทางกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ทำงานร่วมกัน ในการเตรียมการรับมือ ส่วนการกระจายเม็ดเงินทางด้านสินเชื่อ เรามองเห็นตรงกัน เนื่องจากสินเชื่อจากธนาคารสถาบันเฉพาะกิจของรัฐมีการเร่งรัด อย่างเต็มที่ และมีผลการปล่อยสินเชื่อที่น่าพึงพอใจลงไปสู่รายย่อย แต่ปัญหาและข้อจำกัดอยู่ที่สินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถไปบีบคอบอกให้เขาปล่อยได้
นายเผ่าภูมิ ระบุว่า เรามีกลไกในการลดความเสี่ยงของคน เพื่อทำให้สถาบันการเงินนั้น ปล่อยสินเชื่อ ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในกลไกการค้ำสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ เพื่อลดความเสี่ยงในเรื่องนี้ โดยทั้งหมดนี้ บ่งบอกว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องสินเชื่อ และสภาพคล่องในตลาด
นายวรภพ ถามอีกว่า กรอบวงเงินที่ยังใช้ไม่หมดนั้น เป็นผลสะท้อนว่าเหตุใดเศรษฐกิจจึงไม่เติบโต เนื่องจากธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อ ดังนั้น จึงมองว่าไม่ควรรอพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ใหม่ เหตุใดถึงไม่ทำให้มาตรการนี้เกิดขึ้นในปีนี้ และโครงสร้างสำคัญ ในการพัฒนาโครงสร้างใหญ่ ทั้งคนและนวัตกรรม ทลายทุนผูกขาด ก็ยังไม่เห็นความคืบหน้า เมื่อไหร่รัฐบาลจะเริ่มทำในเรื่องยาก
นายเผ่าภูมิ ชี้แจงว่า รัฐบาลใช้กลไกที่มากกว่างบประมาณ ในการลดสัดส่วนการใช้กำไรในการประเมิน เพื่อให้ธนาคาร อย่างธนาคารออมสิน ตัดกำไรของตัวเอง ไปปล่อยสินเชื่อ โดยที่รัฐบาลไม่ต้องใช้เงินแม้แต่แบบเดียว เป็นกลไกที่เราเข้าไปแก้ที่ต้นตอ เพื่อให้ธนาคารนำเงินมาช่วยเหลือประชาชน
นายเผ่าภูมิ ยืนยันว่า บสย. กำลังดำเนินการอยู่ ส่วนการที่ยังใช้งบประมาณไม่หมดนั้น เนื่องจากเราให้งบประมาณที่สูง จะได้ไม่ต้องมาขอเรื่อยๆ และเรามีแผนจะขยายให้ครอบคลุมสินเชื่ออื่นๆ ด้วย ส่วนเรื่องโครงสร้าง เรามี พ.ร.บ.ศูนย์กลางทางการเงิน ซึ่งจะเป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างที่สำคัญของประเทศ เป็นเรื่องยาก ที่จะต้องเขียนกฎหมายฉบับใหม่ ยืนยันว่า รัฐบาลดูแลทั้งปัญหาระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'กธ.' เอาคืน! ยื่นสภาฟันจริยธรรม 'ยอดชาย' จ่อร้อง ป.ป.ช.-กกต. ถอดถอน
'ไผ่' ร้องสภาฯ สอบจริยธรรม 'ยอดชาย' พูดเท็จ ซื้อตัวสส. 55 ล้าน ถ้าจริงกลับเพิกเฉยไม่แจ้งความ สัปดาห์หน้าเตรียมยื่น ป.ป.ช.-กกต. เอาผิด มั่นใจถึงขั้นถอดถอนแน่ 'รองปธ.สภา' ชี้บทเรียนอารมณ์พาไป
นักวิชาการ ยกเคส 'สส.กฤษฎิ์' ย้อน 'พรรคส้ม' ทรยศปชช.นโยบายประมง คนไม่เท่ากัน
นายวรา จันทร์มณี เลขาธิการเครือข่ายประชาชนพิทักษ์สิทธิเสรีภาพและความเป็นธรรม นักวิชาการอิสระด้านสังคมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า
โฆษกกล้าธรรมเย้ย ปชน.ถ้าย้ายขั้วแล้วดูแลพี่น้องในพื้นที่ดีกว่าเดิมก็ย้ายเถอะ
โฆษก กธ. ลั่น อุดมการณ์ซื้อขายกันไม่ได้ บอก ไม่ได้มีแค่ ปชน. ขอย้ายเข้าสังกัดกล้าธรรม
คลังเตรียมชง ครม. อัด 15,000 หมื่นล้าน ปล่อยกู้อุ้ม 3 จังหวัดชายแดนใต้
'คลัง' เตรียมชง ครม. ออกซอฟท์โลน 3 จ.ชายแดนใต้ 15,000 ล้าน แบ่งเบาภาระผู้ประกอบการ