'ขุนคลัง' ยันมีข้อมูลถกสหรัฐฯ ยอมรับวิกฤติโหดกว่าโควิด-19

‘ขุนคลัง’ ยันมีข้อมูลคุยสหรัฐฯ เรียบร้อย พร้อมเดินทางไปเจรจาในเวลาที่เหมาะสม มั่นใจข้อเสนอเป็นประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย รับวิกฤตินี้โหดกว่าโควิด-19 ชี้หากจบไม่สวยทำเศรษฐกิจโลกถดถอยหนัก แจงไทยเตรียมแผน 2 รับมือ เล็งปรับโครงสร้างเศรฐกิจ จ่อขยับเพดานหนี้สาธารณะเปิดช่องกู้เพื่อลงทุน

9 เม.ย. 2568 – นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง กล่าวถึงกรณีการเดินทางเพื่อไปเจรจากับสหรัฐฯ กรณีที่ีการประกาศเก็บภาษีพื้นฐาน (Baseline Tariff) สำหรับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศในอัตรา 10% และภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับอีกหลายประเทศ รวมถึงคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐด้วย โดยไทยถูกเก็บภาษีดังกล่าว ในอัตรา 36% ว่า ยืนยันว่าข้อมูลในหลักการเบื้องต้นพร้อมหมดแล้ว โดยไทยจะเดินทางไปเจรจาในเวลาที่เหมาะสม เพื่อทำให้การเจรจาเกิดประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย โดยมองว่าแม้การเจรจาจะเป็นแค่กรอบ แต่จะเป็นกรอบที่เห็นร่วมกันว่าเป็นการแก้ปัญหาที่สามารถปฏิบัติร่วมกันได้อย่างแน่นอน

ทั้งนี้ มองว่ากรณีการยื่นข้อเสนอภาษี 0% กับสหรัฐฯ นั้นไม่ใช่คำตอบ เพราะโจทย์สำคัญในขณะนี้ คือ สหรัฐฯ มีการนำเข้าสินค้ามากเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้ปัจจุบันขาดดุลการค้าปีละ ราว 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งไทยเห็นโจทย์ในส่วนนี้แล้ว

“ถ้ารีบไปโดยที่เราไม่รู้โจทย์ ก็ไม่รู้จะไปเสนออะไร ดังนั้นวิธีการส่งสัญญาณง่าย ๆ เบื้องต้นอาจจะต้องหารือกับระดับปฏิบัติการก่อน โดยอาจจะหารือกับสำนักผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ซึ่งจะเป็นหน่วยงานที่รวบรวมข้อมูลทั้งหมด ก็อาจจะเห็นและทำให้เราพอรู้ว่าอะไรจะสามารถตอบโจทย์ที่สหรัฐฯ ต้องการ และอะไรจะตอบโจทย์กับประเทศไทยด้วย” นายพิชัย กล่าว

สำหรับข้อเสนอเบื้องต้นที่จะมีการเจรจากับ USTR ประกอบด้วย 1.พิจารณาการนำเข้าสินค้าพลังงาน เช่น ก๊าซธรรมชาติ โดยเฉพาะ LNG ที่มีต้นทุนต่ำในสหรัฐฯ 2.นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น โดยเน้นสินค้าที่ไทยมีความต้องการใช้ในประเทศ เช่น สินค้าเกษตร โดยที่ไทยไม่เสียหาย เช่น ข้าวโพด โดยอาจพิจารณาการนำเข้าข้าวโพดในสัดส่วนที่เหมาะสม รวมถึงการนำเข้าเครื่องในสุกร 3. ลดหรือยกเว้นภาษีให้สินค้าสหรัฐฯ ที่ไทยเก็บภาษีได้ไม่สูงนัก กว่า 100 รายการ ซึ่งจะเป็นการแก้ไขอุปสรรคคการค้าที่ไม่ใช่ภาษี

4. แก้ไขหรือยกเลิกมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non Tariff Barrier) กับสินค้านำเข้ากว่า 100 รายการ เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าให้กับสหรัฐฯ มากขึ้น 5. ต้องมีมาตรการคุมเข้มการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดกับสินค้าที่ใช้ไทยเป็นประเทศทางผ่าน โดยจะให้ความสำคัญกับการคัดถิ่นกำเนิดสินค้ามากขึ้น เพื่อป้องกันการสวมสิทธิสินค้าจากไทยที่จะส่งออกไปยังสหรัฐฯ

นายพิชัย กล่าวอีกว่า ยอมรับว่าวิกฤติครั้งนี้ใหญ่กว่าโควิด-19 เพราะไม่สามารถประเมินได้ว่าสงครามการค้าโลกครั้งนี้จะเกิดอะไรขึ้น แม้ว่าอาจจะพอเดาได้ลาง ๆ แต่วิกฤติครั้งนี้ไม่ได้เกิดแค่ไทยกับสหรัฐฯ หรือเวียดนามกับสหรัฐฯ เท่านั้น แต่อาจจะมีอีกหลายคู่ เช่น อาจจะมีไทยกับยุโรป หรือไทยกับออสเตรเลีย นั่นเพราะเวลาที่ทั่วโลกมีปัญหา ทุกคนมีโจทย์เดียวกันทั้งหมด ดังนั้น แต่ละประเทศก็จะต่างคนต่างป้องกันตัวเอง ก็อาจจะกระทบกับประเทศไทยได้ในมิติต่าง ๆ เช่นกัน จึงมองว่าเรื่องนี้น่าจะแรงกว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19

ทั้งนี้ การประเมินว่าปัจจัยเสี่ยงในเรื่องนี้หากไม่ได้รับการแก้ไขจะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจโลกให้หายไป 3% ส่วนเศรษฐกิจไทย คาดว่าจะส่งผลกระทบให้ตัวเลขจีดีพีหายไป 1-1.5%

ทั้งนี้ นายพิชัย ระบุว่า ในกรณีเลวร้ายหากการเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จ และเศรษฐกิจโลกเกิดวิกฤติ ประเทศไทยจะต้องมีการเตรียมแผน 2 ไว้เพื่อรองรับและเป็นทางเลือกสำหรับวิกฤติที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอยรุนแรง โดยสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการ คือ การปรับโครงสร้างประเทศ ด้วยการปรับเพดานหนี้สาธารณะเพื่อเปิดช่องให้เกิดการลงุทน ซึ่งใน 20 ปีที่ผ่านมาไทยไม่มีการลงทุนในประเทศเลย หรือบางจังหวะอาจจำเป็นที่จะต้องมีการเติมเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ แต่ยืนยันว่าตรงนี้ไม่ได้เป็นนิสัย แต่เศรษฐกิจทุกประเทศต้องเดินด้วยประชาชน ดังนั้น หากประชาชนง่อยเปรี้ยเสียขาก็ไม่ได้ พร้อมทั้งยืนยันว่า จะไม่ใช่การแจกเงินไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีความจำเป็นอย่างแน่นอน

“เพดานหนี้สาธารณะจะ 60% 70% หรือ 80% จะมีหนี้เท่าไหร่ ตรงไหนจะเรียกว่าหนี้เยอะ แต่เรามีปัญญาคืน ก็เรียกว่าหนี้ไม่เยอะ คำว่ามีปัญญาคืน หมายถึง หนี้ของรัฐบาลที่ลงทุนไปแล้วสร้างระบบเศรษฐกิจที่ดี ทำให้มีผลตอบแทนกลับมา ทำให้เรามีความสามารถในการคืนหนี้ได้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ว่าการก่อหนี้ที่เกินไปได้ลงไปในสิ่งที่พึงกระทำหรือไม่ ซึ่งปัจจุบัน 60% ของหนี้รัฐบาลเป็นหนี้ที่กู้ในประเทศ ส่วนหนี้ต่างประเทศมีเพียง 1% กว่าเท่านั้น แปลว่าเศรษฐกิจไทยเรามีเงินหมุนเพียงพอ การกู้ตรงนี้ก็เหมือนพ่อยืมลูก เมื่อเศรษฐกิจดีพ่อก็นำเงินไปคืนลูก ตรงนี้ปกติ แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ กู้จนลูกหมดตัว แล้วไปกู้ต่างประเทศต่อ พอถึงเวลาเราไม่มีคืน ก็จะเหมือนกัประเทศในอเมริกาใต้หลาย ๆ แห่งที่หนี้สาธารณะสูงเกินระดับ 100%

เพิ่มเพื่อน