
‘จุลพันธ์’ การันตีคณะอนุกลั่นกรองฯ ใช้งบ 1.57 แสนล้านบาท ยังไม่เคาะแผนใช้เงิน ไม่เกี่ยวข่าวปรับ ครม. พร้อมแจงหน่วยงานส่งคำขอเข้ามากว่าหมื่นโครงการ เป็นเงิน 4 แสนล้านบาท จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โยนสำนักงบประมาณเร่งพิจารณา ก่อนชงที่ประชุมครั้งต่อไปพิจารณา
6 มิ.ย. 2568 – นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง เปิดเผยว่า การประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 5/2568 ที่ยังไม่ได้มีการอนุมัติโครงการใช้เงินนั้น ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) และยืนยันว่าเรื่องนี้ยังไม่มีสัญญาณใด ๆ อย่างแน่นอน โดยเรื่องนี้เป็นอำนาจตรง และเป็นหน้าที่ของนายกรัฐนตรีที่จะคิดหรือทำอย่างไร ตรงนี้คงไม่มีใครมีสิทธิ์ไปก้าวก่าย คนที่มีหน้าที่ทำงาน ก็ต้องทำไป
ทั้งนี้ ต้องชี้แจงตามข้อเท็จจริงว่า มีหน่วยงานได้ส่งคำขอใช้งบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท ที่ผ่านการคัดสรรเข้ามาราวหมื่นโครงการ เป็นเม็ดเงินกว่า 4 แสนล้านบาท ทำให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ ต้องใช้เวลาในการพิจารณาอย่างละเอียดและรอบคอบ และต้องยอมรับว่าก็มีหลายโครงการที่ถูกเสนอเข้ามาแต่ไม่เข้ากรอบ โดยหลังจากนี้ได้มอบหมายให้สำนักงบประมาณ เร่งกลับไปทบทวนการคัดเลือกโครงการที่จะใช้เงินอย่างละเอียด และรอบคอบ ก่อนที่จะเสนอกลับมายังที่ประุชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ ในการประชุมครั้งถัดไป
“เม็ดเงินตรงนี้มีความสำคัญ รัฐบาลยอมที่จะบอกกับประชาชนว่าเลื่อนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แม้ว่าจะมีเหตุ ปัจจัยจากการที่มีหน่วยงานให้ความเห็นบางส่วนที่ค่อนข้างแข็ง รัฐบาลก็พร้อมปรับเปลี่ยนวิธีเพื่อตอบโจทย์ทุกฝ่าย แต่เมื่อเปลี่ยนมาแล้วก็ต้องนำเงินไปใช้ในโครงการที่ก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนจริง ๆ เป็นโครงการที่ทำให้เกิดการลงทุนหรือปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปด้วย มันต้องเร็ว ต้องโดน และต้องได้ผล ดังนั้นการพิจารณาคัดเลือกโครงการจึงต้องดูอย่างรอบคอบ ก็ให้เวลาสำนักงบประมาณไปดู เช่น โครงการเกี่ยวกับน้ำ มีการทำอะไรบ้าง มีกี่ประเภท โครงการถนน จะทำให้เกิดการกระตุ้น เกิดการจ้างงานเพียงพอหรือไม่ โครงการฟื้นฟู ทั้งหมดต้องดูให้ครบ ส่วนคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ จะประชุมเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับ รมว.การคลัง เป็นคนนัด แต่เรื่องนี้ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเร่งด่วน เพราะต้องผูกผันสัญญาก่อน 30 ก.ย. ซึ่งรัฐบาลก็อยากให้เม็ดเงินลงเร็ว เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้เร็ว” รมช.การคลัง ระบุ
สำหรับโครงการที่เสนอเข้ามาแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบน้ำ การคมนาคม โครงการขนาดเล็กในท้องถิ่น 2. การพัฒนาชุมชน 3. การส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งกำลังชะลอตัว และ 4. โครงการที่มีผลต่อการจ้างงานและการกระจายรายได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับความคืบหน้าโครงการสถานบันเทิงครบวงจร (entertainment complex) นั้น ล่าสุดได้ไปชี้แจงกับกรรมาธิการวุฒิสภา โดยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลในมุมต่าง ๆ รวมถึงข้อห่วงใย เช่น เรื่องปัญหาการฟอกเงิน การแก้ไขปัญหาติดการพนัน การจัดทำ entertainment complex ไม่มีกาสิโนได้หรือไม่ ทั้งหมดรัฐบาลได้ชี้แจงตามข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว โดยยืนยันว่าจะอีกกลไกของกฎหมายที่เข้มข้นเข้ามาดูแล และโมเดลที่รัฐบาลจะดำเนินการจะไม่เหมือนเพื่อนบ้าน ที่มีกาสิโนทุกหัวเมือง แต่จะเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ระดับแสนล้านบาท ดังนั้นกระบวนการในการกำกับดูแลจึงมั่นใจได้ว่ามีศักยภาพ และเข้มข้นอย่างแน่นน
ขณะเดียวกันจากการศึกษาของสิงคโปร์ พบว่า พื้นที่ gaming area มีปัญหาการฟอกเงินน้อยกว่าในสถาบันการเงินด้วยซ้ำ ตรงนี้เป็นข้อเท็จจริง ส่วนประเด็นว่าการจัดทำ entertainment complex ไม่มีกาสิโนได้หรือไม่นั้น อยากชี้แจงว่า entertainment complex เป็นโมเดลธุรกิจหนึ่ง หากไม่มีตรงนี้ก็คงไม่มีใครอยากมาลงทุน ต้องยอมรับว่า กาสิโนช่วยดึงดูดนักลงทุนและเม็ดเงินลงทุนขนาดใหญ่ได้ ส่วนปัญหาเรื่องติดพนันนั้น ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามป้องกันมาตลอด มีการปิดช่องทางใต้ดิน แต่ก็ปิดไม่หมด ส่วน entertainment complex คือการทำให้ถูกกฎหมาย นำขึ้นมาวางบนโต๊ะ มีกลไกเยียวยา กลไกในการแก้ไขปัญหา รวมถึงมีการบังคับใช้กฎหมาย การพัฒนาคน การศึกษา รวมหลายเรื่องในการที่จะแก้ไขปัญหาการติดการพนัน
“ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้ยืนแข็งว่าจะต้องเป็นไปตามที่เราคิด เพราะเราก็ไม่ได้คิดอะไรถูกไปหมด เรายอมรับว่าเรามีความคิดที่จะขับเคลื่อนในการสร้างเม็ดเงินลงทุนขนาดใหญ่ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภาคการท่องเที่ยว ซึ่งระหว่างทางก็มีการปรับแผนมาเรื่อย ๆ ทั้งในชั้นของกระทรวงการคลัง ชั้นของกฤษฎีกา แต่ก็ต้องยึดมั่นในหลักการ และต้องตอบโจทย์หลักให้ได้ด้วย ส่วนถามว่ารัฐบาลห่วงอะไร ทุกคนห่วงสังคม มีใครบ้างที่ไม่ห่วงเรื่องสังคม รัฐบาลก็เช่นกัน แต่เรามองว่าเราอยากทำให้ถูกต้องและโปร่งใ เปิดบนโต๊ะให้ทุกคนได้เห็นไม่ดีกว่าหรือ” นายจุลพันธ์ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สว. ลุยตั้ง กมธ.แก้ปัญหาเศรษฐกิจ อัด 'พิชัย' เชื่องช้าเจรจาภาษีสหรัฐ
นายวิวรรธน์ ไกรพิสิทธิ์กุล สว. ให้สัมภาษณ์ถึงการเสนอญัตติตั้ง คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมวถฒิสภาฯ วันที่ 15 ก.ค.