
‘ขุนคลัง’ ยันปริมาณน้ำมันไทยยังไม่ขาดแคลน หลังสงครามตะวันออกกลางกระหึ่มโลก พร้อมแจงหากราคาขยับเร็วพร้อมงัดมาตรการภาษี-กลไกกองทุนน้ำมันเข้าอุ้ม สั่งบริษัทค้าน้ำมันส่งแผนสต็อก พร้อมเติมสภาพคล่องอุ้ม SME สมาชิกกองทุนประกันสังคมที่ได้รับผลกระทบจากส่งออก 3 หมื่นล้านบาท
23 มิ.ย. 2568 – นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.การคลัง กล่าวถึงสถานการณ์การสู้รบในแถวตะวันออกกลาง ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ว่า ได้มีการติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องราคาพลังงานและสถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้าย โดยมองว่าหากสถานการณ์ความรุนแรงยืดเยื้อต่อไปก็อาจจะเป็นผลให้ราคาพลังงานในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น แม้ว่าตามข้อเท็จจริงแล้วซัพพลายพลังงานโลกจะไม่ได้ขาดก็ตาม
ทั้งนี้ ในส่วนของราคาพลังงานนั้น มองว่า หากราคามีการปรับตัวสูงขึ้นก็เป็นผลมาจากสงคราม ซึ่งเมื่อเรารู้อยู่แล้วว่าปัญหาเกิดจากอะไร ก็จะได้บริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนเรื่องเงินทุนเคลื่อนย้ายนั้น มองว่าไม่ได้มาจากแค่ปัจจัยเรื่องอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นหรือลงเท่านั้น แต่จากสถานการณ์ในขณะนี้ยังมีเรื่องความมั่นใจในสกุลเงินต่าง ๆ ความมั่นใจในสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น คริปโตเคอร์เรนซี่ และทอง ดังนั้นการติดตามเรื่องเงินทุนเคลื่อนย้ายนั้นจึงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
“สุดท้ายแล้วหากราคาน้ำมันปรับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว รัฐบาลก็คงจะต้องใช้มาตรการของกองทุนน้ำมันเชื่อเพลิงเข้ามาช่วยอยู่ดี ตรงนี้เป็นเรื่องที่จะต้องทำเมื่อจำเป็น แต่ขณะเดียวกันก็ต้องคิดว่า จริง ๆ แล้วการทำเรื่องพวกนี้ต้องทำในระดับที่เหมาะสม ผมคิดว่าเศรษฐกิจที่จะดีได้ต้องไปเน้นเรื่องการทำให้รายได้เพิ่มขึ้นด้วย ส่วนเรื่องการใช้กลไกกองทุนน้ำมันเข้ามา หากเราขยับตรงนี้พอประมาณน่าจะดีกว่าหากรายได้ยังไม่เพิ่ม แต่ไปพยุงราคาพลังงานและกดให้ต่ำ ตอนนี้อะไรก็คิดได้หมด แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องดูตามสถานการณ์” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวอีกว่า ได้มีการหารือร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สถาบันการเงิน รวมถึงบริษัทผู้ค้าน้ำมันขนาดใหญ่ โดยได้มอบโจทย์สำคัญให้ไปเร่งพิจารณาว่า หากเกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงมากขึ้นทั้งที่ตะวันออกกลาง หรือกับประเทศเพื่อนบ้าน สถานการณ์พลังงานของไทยจะเป็นอย่างไร ซึ่งวิธีคิดจะต้องไม่มองแค่ผลกระทบกับเศรษฐกิจเท่านั้น แต่จะต้องมาดูและติดตามว่าจะมีมาตรการ แนวทางหรือแผนการรับมืออย่างไรไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใด ๆ ก็ตาม
นอกจากนี้ ยังได้มีการหารือถึงสถานการณ์การสำรองน้ำมันของประเทศด้วย เพราะไทยมีอีกสถานะคือการเป็นประเทศผู้ส่งออกพลังงาน ดังนั้นก็ต้องมาดูว่าหากเกิดปัญหา และทุกประเทศต่างก็พยายามจะเก็บพลังงานไว้ในประเทศของตัวเองแทนการส่งออกมากขึ้น ตรงนี้จะเป็นจังหวะที่ดีที่ไทยจะบริหารการสำรองน้ำมันให้อยู่ในวิสัยที่แข็งแรงมากขึ้น
“ขณะนี้ยังไม่พบสัญญาณความตึงเครียดที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อไทย แต่เพื่อเป็นการรับมือหากสถานการณ์ยืดเยื้อ รุนแรง รัฐบาลได้ หารือกับผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ ธนาคาร และภาคเอกชน เพื่อเตรียมพร้อมรับมืออย่างรอบด้าน และยืนยันว่าขณะนี้ปริมาณน้ำมันในไทยไม่ได้มีปัญหาขาดแคลน แต่หากมีปัญหาราคาพลังงาน เรายังมีเครื่องมือในการบริหารราคา เช่น การใช้กองทุนน้ำมัน หรือแม้แต่การปรับภาษีน้ำมัน ซึ่งตอนนี้ทุกอย่างเรายังสามารถจัดการได้อยู่ ขณะเดียวกันยังได้สั่งให้ผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่นำแผนการจัดการสต๊อกน้ำมันมารายงาน พร้อมเตรียมแผนสำรองการส่งออก หากเกิดการหยุดชะงักทางการค้า” นายพิชัย กล่าว
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเตรียมออกมาตรการเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องกับผู้ประกอบการรายย่อย (เอสเอ็มอี) โดยเฉพาะที่กลุ่มที่เป็นสมาชิกกองทุนประกันสังคม วงเงิน 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นเม็ดเงินที่เหลือ 4-5 หมื่นล้านบาท จากงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ที่ได้มีการจัดสรรการใช้จ่ายเม็ดเงินไปแล้ว 1.15 แสนล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และซัพพลายเชนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออก รวมถึงจะมีการเตรียมโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟท์โลน) ซึ่งดำเนินการโดยธนาคารรัฐ วงเงิน 1- 2 แสนล้านบาท เพื่อรองรับในส่วนที่มีความจำเป็นด้วย
อย่างไรก็ดี ในส่วนความคืบหน้าการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ นั้น รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง ระบุว่า อยากให้มองในแง่ดีว่า แม้จะช้า แต่ขณะนี้ก็ยังไม่มีประเทศไหนที่ได้ข้อสรุปอย่างจริงจับ หรือชัดเจน ดังนั้นเชื่อว่าผลการเจรจาน่าจะมีเงื่อนไขออกมาคล้าย ๆ กันทั้งหมด และหวังว่าการเจรจาน่าจะได้ข้อสรุปในทิศทางใกล้ ๆ กันในหลาย ๆ ประเทศ โดยมองว่าหากข้อสรุปออกมาเป็นในแนวทางดังนี้ก็น่าจะช่วยเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้
ขณะที่แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ อาจจะมีการปรับตัวลดลงมาบ้าง แต่ไม่มากเท่าไหร่ ซึ่งถือเป็นความโชคดี เนื่องจากรัฐบาลได้มีการเตรียมมาตรการในการรองรับการลงทุนในตลาดทุน มีการตั้งกติกาอย่างรวดเร็ว เกี่ยวกับผลกระทบท่ี่ตลาดทุนอาจจะได้รับจากการสู้รบในตะวันออกกลาง


