‘เอกนิติ’ปักธงเข็นจีดีพีQ4โตเกิน1% นัด20-26ต.ค.ลงทะเบียนคนละครึ่ง

‘เอกนิติ’ เดินเครื่องเข็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปักธงไตรมาส 4 ดันจีดีพีโตได้เกิน 1% ฟุ้งคนละครึ่ง พลัส-เติมเงินบัตรคนจน หนุนเพิ่ม 0.2-0.7% พร้อมเข็นส่วนราชการ-รัฐวิสาหกิจเร่งเบิกจ่ายงบ กางไทม์ไลน์ลงทะเบียนคนละครึ่ง 20-26 ต.ค. นี้ ร้านค้าดีเดย์ 15 ต.ค. การันตีเริ่มใช้จ่าย 29 ต.ค. จนถึงสิ้นเดือน ธ.ค. นี้ เตรียมผุดออมเงินผ่านการซื้อสลากฯ

1 ต.ค. 2568 - นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมมอบนโยบายแก่ผู้บริหารกระทรวงการคลัง ว่า รัฐบาลต้องเร่งเดินหน้าเพื่อผลักดันให้รถยนต์เศรษฐกิจไทยพ้นจากหล่ม ไม่ตกเหว โดยยืนยันว่าทุกฝ่ายเห็นความจำเป็นเร่งด่วนในเรื่องนี้ และจะร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจกันดำเนินการอย่างเต็มที่ภายใต้การรักษาเสถียรภาพทางการคลังอย่างเข้มข้น

สำหรับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เตรียมผลักดันออกมาในระยะนี้ คือ ‘โครงการคนละครึ่ง พลัส’ วงเงินดำเนินการรวม 6.6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น การดำเนินการผ่านการเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.4 ล้านราย วงเงิน 2.2 หมื่นล้านบาท และในสัปดาห์หน้าจะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรรี (ครม.) เห็นชอบโครงการคนละครึ่ง พลัส สำหรับประชาชนทั่วไป 20 ล้านคน ในส่วนนี้จะใช้เม็ดเงินจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 2.5 หมื่นล้านบาท และงบกลางอีก 1.9 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนได้ในวันที่ 20-26 ต.ค. 2568 ขณะที่ร้านค้าลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. นี้ โดยสามารถลงทะเบียนได้จนกว่าจะจบโครงการ และเริ่มใช้จ่ายได้ตั้งแต่ 29 ต.ค. จนถึงสิ้นเดือน ธ.ค. 2568

นอกจากนี้ ในวันที่ 14 ต.ค. 2568 จะเสนอที่ประชุม ครม. พิจารณาเห็นชอบโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวโดยเฉพาะเมืองรอง โดยจะให้สามารถนำค่าใช้จ่ายในการเที่ยวเมืองรองหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า ส่วนรายละเอียดต่าง ๆ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายที่ใช้ลดหย่อน ซึ่งก่อนหน้านี้ที่เคยดำเนินโครงการลักษณะนี้มา เคยให้ค่าใช้จ่ายสูสุดที่ 4 หมื่นบาท และ 2 หมื่นบาท รวมถึงในช่วง 4 เดือนจากนี้ จะเร่งกระตุ้นให้หน่วยงานภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ เร่งการจัดประชุม สัมมนา เพื่อช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง โดยพบว่าส่วนราชการมีงบประมาณในส่วนนี้ราว 3-4 พันล้านบาท และรัฐวิสาหกิจอีก 3-4 พันล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าหากสามารถผลักดันในส่วนนี้ได้ ก็จะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ได้

'เบื้องต้นได้มีการประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2568 จะขยายตัวได้เพียง 0.3% แต่จากการเร่งผลักดันโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภค โดยเฉพาะคนละครึ่งพลัส และการเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการ จะช่วยทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเป็นบวกเพิ่มอีก 0.2-0.4% ขณะเดียวกันยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่น ๆ ทั้งการกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง การเร่งรัดการเบิกจ่ายของภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และท้องถิ่น เชื่อว่าจะช่วยทำให้เศรษฐกิจโตใกล้เคียงอีก 0.7% ดังนั้นจึงมั่นใจว่าเมื่อรวมผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมดแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2568 จะโตเกิน 1% แน่นอน' นายเอกนิติ กล่าว

ทั้งนี้ ยังมีมาตรการที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว ผ่านการเพิ่มทักษะพ่อค้า แม่ค้ารายย่อย จำนวน 1 แสนราย ซึ่งใช้เม็ดเงินจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยจะเป็นการอบรมเพิ่มทักษะ เช่น การขายออนไลน์ การจัดทำบัญชีแบบดิจิทัล ซึ่งตรงนี้จะช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ด้วย

ขณะเดียวกัน จะเร่งสนับสนุนการออมภาคประชาชน เพื่อให้มีเงินใช้ยามเกษียณ ผ่านการซื้อสลากแบบ 6 หลัก (L6) ผ่านระบบออนไลน์ สำหรับผู้ที่ไม่ถูกรางวัล โดยจะมีการคืนเงิน ส่วนรายละเอียดของโครงการยังอยู่ระหว่างการหารือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จได้ภายใน 4 เดือนอย่างแน่นอน

สำหรับสถานการณ์ค่าเงินบาทในขณะนี้ นายเอกนิติ ระบุว่า เริ่มเห็นการอ่อนค่าลงบ้าง โดยก่อนหน้านี้ได้มีการหารือกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการเน้นย้ำว่าจะต้องวิเคราะห์ให้ถูกว่าการแข็งค่าของเงินบาทมีสาเหตุมาจากอะไร เพื่อหามาตรการแก้ไขแบบเกาให้ถูกที่คัน ส่วนที่มีการถามว่าทองคำมีผลต่อการแข็งค่าของเงินบาทหรือไม่นั้น ต้องบอกว่าอาจจะมีผลบ้าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมดยังมีเรื่องอื่น ธุรกรรมอื่น เช่น ตัวเลขข้อมูลในบัญชีดุลการชำระเงิน ที่มีความคลาดเคลื่อนทางสถิติ รวมถึงอาจจะมีเรื่องเงินนอกตลาด เงินเทา เกี่ยวข้องด้วย ตรงนี้ต้องเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งมาดำเนินการ

'ยืนยันว่าหลังจากนี้กระทรวงการคลังจะมีแผนเกี่ยวกับการเร่งผลักดันเศรษฐกิจของประเทศออกมาอย่างต่อเนื่องทุกอาทิตย์ ทุกเดือน และภายใน ธ.ค. 2568 แผนจะต้องออกหมด และในเดือน ม.ค. 2569 จะต้องเก็บเกี่ยวผลผลิตจากแผนที่วางไว้' นายเอกนิติ กล่าว

นายวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.การคลัง กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้รับฟังข้อมูลจากหลายหน่วยงาน ทั้งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาหอการค้าไทย และสมาคมธนาคารไทย ซึ่งได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาของเศรษฐกิจไทย และได้นำมากลั่นกรองเป็นแนวนโยบาย Quick-Big-Win โดยรัฐบาลจะเร่งพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะตกท้องช้างในไตรมาส 4/2568 ให้ฟื้นขึ้น ซึ่งนโยบายที่เร่งผลักดันออกมานั้นไม่ใช่แค่สิ่งที่กระทรวงการคลังคิด แต่เป็นข้อมูลที่เห็นตรงกันกับหลายภาคส่วนว่าเศรษฐกิจไทยตอนนี้เติบโตช้า และอยากให้รัฐบาลช่วยกระตุ้นแบบใดบ้าง ซึ่งยุทธศาสตร์ต่าง ๆ นี้แม้จะไม่ได้เกิดขึ้นใน 4 เดือน แต่ก็ถือเป็นการวางรากฐานระยะยาว

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส หลัก ๆ พุ่งเป้าไปที่กลุ่มไมโครเอสเอ็มอีที่อยู่ในระบบภาษี โดยจากข้อมูลของกรมสรรพากร พบว่า ร้านค้าที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาท จำนวน 3 พันร้านค้า และที่มีรายได้ตั้งแต่ 1.8 ล้านบาท ถึง 30 ล้านบาท จำนวน 2 พันร้านค้า รวมทั้งสิ้น 5 พันกว่าร้านค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้านค้าที่ขายสินค้าและบริการ อาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าทั่วไป

สำหรับโมเดลเรื่องการส่งเสริมการออมภาคประชาชนผ่านการซื้อสลาก L6 นั้น ขณะนี้กระทรวงการคลัง และสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล อยู่ระหว่างหารือเพื่อวางกรอบแนวทางการดำเนินการ โดยหลักการเบื้องต้น คือ จะป็นการคืนเงินให้คนซื้อสลาก L6 แต่ไม่ถูกรางวัล ซึ่งในแต่ละงวดจะที่มีผู้ซื้อจากทั้งประเทศรวมกว่า 3 ล้านคน โดยจะกันเงินส่วนที่อยู่ในค่าบริหารงานของสำนักงานสลากฯ ที่มีสัดส่วน 17 % นำมาจ่ายคืนประชาชนที่ไม่ถูกสลาก แต่ต้องเป็นการซื้อสลาก ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งสัดส่วนเงินคืนจะคิดเป็นเงินต่อใบสลาก โดยเงินจำนวนดังกล่าวจะนำไปลงทุนเพื่อให้เกิดดอกผล หลักการเหมือนกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF ซึ่งโดยผู้ออมจะสามารถไถ่ถอนเงินดังกล่าวได้เมื่อมีอายุ 55 ปีขึ้นไป และยืนยันว่าจะไม่มีการพิมพ์สลากเพิ่ม และไม่ได้เป็นการมอมเมาประชาชนอย่างแน่นอน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ประชุม คกก.ถอดบทเรียนอุทกภัยนัดแรกเล็งลอกการบ้านแดนปลาดิบ

'บวรศักดิ์' ประชุม คกก.ถอดบทเรียนอุทกภัยนัดแรก ชี้ประเทศมี กม.แก้ภัยพิบัติเพียบ แต่เกิดเหตุฉับพลันอำนาจสั่งการไม่ได้ เตรียมถอดบทเรียนแบบญี่ปุ่น ก่อน 'นายกฯ อนุทิน' นั่งหัวโต๊ะนำประชุมต่อ

รัฐบาลอัดฉีดแพ็กเกจใหญ่ เพิ่มสภาพคล่อง SME มาตรการสินเชื่อ-คืนภาษี วงเงิน 3.27 แสนล้าน

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 มีมติเห็นชอบมาตรการ “Quick Big Win เพื่อ SMEs ไทย

นายกฯลงหาดใหญ่ครั้งที่ 5 นำทีมเศรษฐกิจหารือช่วยเหลือผู้ประกอบการ

นายกฯนำทีมเศรษฐกิจ-หน่วยงานการเงิน บินลงหาดใหญ่รอบที่ 5 คุยผู้ประกอบการ พร้อมลงพื้นที่สำรวจความเสียหายย่านธุรกิจตลาดกิมหยง ด้าน ‘ศุภจี’ยันมีมาตรการช่วยเหลือแน่นอน