การนิคมฯโวนักลงทุนญี่ปุ่นยังสนใจ 'อีอีซี' ชี้อุตฯยานยนต์ปังสุด

กนอ.โวนักลงทุนญี่ปุ่นยังสนใจอีอีซี ชี้อุตฯยานยนต์ปังสุด ฟุ้งตัวเลขเศรษฐกิจครึ่งแรกปี 65 ปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 9 ปี เชื่อนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอนนักลงทุนไม่มีปัญหา สนองความยั่งยืนภาคอุตสาหกรรม

3 มี.ค. 2565 -นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ได้ร่วมประชุมกับองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) โดยมีการนำผลการสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมลงทุนญี่ปุ่นในประเทศไทยของหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพ (JCCB) มาหารือ ซึ่งพบว่า อุตสาหกรรมที่บริษัทญี่ปุ่นสนใจลงทุนในพื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรมและเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) มากที่สุดถึง 49% คือ ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์สมัยใหม่ นอกจากนี้ 37% ยังระบุด้วยว่า สนใจที่จะลงทุนต่อไป แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่มีอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ค่าดัชนีแนวโน้มเศรษฐกิจ ของ JCCB ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ที่ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 41 จากเดิมช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ที่อยู่ที่ 14 โดยขึ้นสูงสุดในรอบ 9 ปี

ทั้งนี้ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น หรือ เมติ ได้เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อหารือถึงแนวทางการลงทุนใหม่ๆ โดยญี่ปุ่นมีแผนการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศส่งเสริมการใช้และผลิตรถยนต์อีวี ปักหมุดการเป็นตลาดระดับโลก รวมถึงเป็นฐานการลงทุนขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ที่ทันสมัย

สำหรับการคาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ดัชนีการลงทุนจะมีการปรับตัวเป็นบวกมากขึ้นนั้น ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากนักลงทุนมองการลงทุนด้านโรงงานและเครื่องจักรว่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยมีโอกาสขยายการลงทุนมากถึง 35% ขณะที่ 37% ระบุว่าจะลงทุนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ นักลงทุน 40% มองว่าแนวโน้มการส่งออกในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 จะเพิ่มขึ้น ขณะที่ 47% คาดว่าการส่งออกยังคงที่ต่อเนื่อง ที่สำคัญ แม้จะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่นักลงทุนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ถึง 65% ยังคาดการณ์ว่าจะคงขนาดกิจการปัจจุบัน ขณะที่ 28% ระบุว่าจะขยายกิจการ

นอกจากนี้ ยังได้หารือเกี่ยวกับนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อความยั่งยืนของภาคอุตสาหกรรม โดยนักลงทุนญี่ปุ่นมากถึง 42% พร้อมที่จะพิจารณานโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยจะดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามมาตรฐานที่กฎหมายและระเบียบสิ่งแวดล้อมกำหนดผ่านกิจกรรมต่างๆ อาทิ การเปลี่ยนหรือปรับปรุงอุปกรณ์เครื่องจักรเป็นแบบประหยัดพลังงาน รวมถึงการนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้

“ผลกระทบจากโควิด-19 เกิดการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก รวมถึงราคาวัตถุดิบและชิ้นส่วนที่พุ่งสูงขึ้น เพราะระบบโลจิสติกส์ของโลกได้รับผลกระทบนั้น กนอ.จึงเสนอว่า ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้โดยการตั้งโรงงานซัพพลายเชนในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ลง และยังทำให้วัตถุดิบรวมถึงชิ้นส่วนต่างๆ ไม่ขาดตลาดอีกด้วย” นายวีริศ กล่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

2กระทรวงใหญ่ผนึกกำลังขับเคลื่อนนิคมฯยางพารา ใช้มาตรการตรวจสอบย้อนกลับดึงนักลงทุนต่างชาติ

กยท.เดินหน้า จับมือ กนอ.ลงนาม MOU ขับเคลื่อนนิคมอุตสาหกรรมยางพาราให้เห็นผลเป็นรูปธรรม พร้อมดึงนักลงทุนจากต่างชาติ ชูจุดเด่นตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มายาง ดันไทยก้าวขึ้นสู่ศูนย์กลางยางพาราโลก สร้างความมั่นคง มั่งคั่ง ให้ทุกภาคส่วนในวงการยางพาราอย่างยั่งยืน

กนอ.ดึงเอกชนตั้งรง.ผลิตภัณฑ์คอนกรีตมวลเบาฯ ในนิคมฯ ภาคใต้ มูลค่าลงทุน 1,057 ลบ.

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เผย เอกชนรายใหญ่ทุ่มทุนตั้งโรงงานพื้นที่ Rubber City ในนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลา บนพื้นที่ 35 ไร่ มูลค่าการลงทุน 1,057 ล้านบาท ทำผลิตภัณฑ์คอนกรีตมวลเบาชนิดไม่เสริมเหล็ก ในเขตอุตสาหกรรมยางขั้นปลายน้ำส่วนหลัง ตอบรับนโยบายรัฐบาลในการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค เสริมสร้างการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม เศรษฐกิจและการลงทุน เพื่อสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน

กยท. เดินหน้าสร้างความมั่งคั่งให้เกษตรกรชาวสวนยาง จับมือ กนอ. เซ็น MOU ลุยสร้างฐานวิจัยพัฒนา บริการวิชาการ ธุรกิจยางและเกี่ยวเนื่อง รับโอกาสทองจากระบบ EUDR

2 รัฐวิสาหกิจ กยท. และ กนอ. จับมือลงนามบันทึกความเข้าใจ วิจัยพัฒนา การบริการวิชาการ และความเป็นไปได้ของการดำเนินธุรกิจยางพารา