สพฐ. เตรียมความพร้อมเปิดเทอมใหม่ 'อัมพร' เผย รร. ต้องประเมินตัวเองให้คกก.ควบคุมโรคจังหวัดพิจารณา

26 เม.ย.65-นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาฯ กพฐ.) กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมการเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ว่า วันเปิดภาคเรียนใหม่ในวันที่ 17 พฤษภาคมนี้ จะไม่มีการเลื่อนเปิดภาคเรียนอีกต่อไปแล้ว ซึ่งภายใต้การเปิดภาคเรียนใหม่นั้นสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้กำชับไปสถานศึกษาและเขตพื้นที่การศึกษาทุกแห่งให้เตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัยให้แก่ผู้เรียนในทุกมิติ เช่น การตรวจสอบความเรียบร้อยของสภาพอาคารเรียน การเดินทาง การทำความสะอาดห้องเรียน เพื่อป้องกันเชื้อโรค เป็นต้น รวมถึงร่วมมือกับผู้ปกครองในการวางแผนการเปิดภาคเรียน นอกจากนี้จะต้องประสานกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ให้เร่งประชาสัมพันธ์การฉีดวัคซีนป้องกันโควิดให้แก่นักเรียน โดยเฉพาะนักเรียนที่มีอายุระหว่าง 5-11 ปี และเป็นกลุ่มเด็กเล็กยังได้รับการฉีดวัคซีนจำนวนที่น้อยมาก ดังนั้นการเร่งรณรงค์การฉีดวัคซีนของนักเรียนจะเป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญของการเปิดภาคเรียนใหม่ แต่ทั้งนี้หากเด็กคนใดยังไม่อยากฉีดวัคซีนและกังวลว่าจะไม่ได้มาโรงเรียนนั้น เรื่องนี้เรากำชับไปยังสถานศึกษาทุกแห่งแล้วว่าจะไม่นำมากำหนดเป็นเงื่อนไขอย่างเด็ดขาด ไม่มีการบังคับ เพราะต้องการเปิดโอกาสการเรียนให้แก่เด็กทุกคน

นายอัมพร กล่าวต่อว่า ส่วนในวันที่ 17 พฤษภาคมนี้จะมีโรงเรียนเปิดเรียนในรูปแบบ On site ได้กี่แห่งนั้น โรงเรียนจะต้องประเมินความพร้อมตัวเองและแจ้งให้คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดเป็นผู้พิจารณา แต่ในประเด็นนนี้ตนคาดว่ารัฐบาลจะประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งเชื่อว่าโอกาสเปิดภาคเรียนในรูปแบบปกติมีความเป็นไปได้สูง ทั้งนี้เมื่อมีการเปิดภาคเรียนใหม่แล้วสพฐ.จะเน้นการเรียนสอนเสริมด้วยการเติมเต็มทักษะให้แก่เด็กหลังจากที่เราต้องเผชิญกับภาวะถอดถอยจากการการเรียนรู้ผ่านการเรียนในรูปแบบออนไลน์มาเกือบ 2 ปี โดยภาคเรียนใหม่ปีการศึกษา 2565 นี้จะเป็นปีแห่งการซ่อมสร้างกระบวนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งสพฐ.จะมีเครื่องมือวัดศักยภาพการเรียนของผู้เรียนแต่ละคน ซึ่งไม่ใช่เป็นการวัดว่าเด็กคนไหนเก่งหรือไม่เก่ง แต่เป็นการวัดเพื่อประเมินพื้นฐานว่า 2 ปีจากการเรียนออนไลน์นั้นนักเรียนขาดทักษะด้านไหน เพื่อเติมเต็มคุณภาพเหล่านั้นที่ขาด

“ผมได้เน้นย้ำถึงมาตรการความปลอดภัยเพื่อรองรับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในสถานศึกษา ตามมาตรการ 6-6-7 กล่าวคือ 6 มาตรการหลัก ได้แก่ การเว้นระยะห่าง สวมหน้ากาก ล้างมือ คัดกรองวัดไข้ ลดการแออัด ทำความสะอาด, 6 มาตรการเสริม ได้แก่ การดูแลตนเอง ใช้ช้อนกลางส่วนตัว กินอาหารปรุงสุกใหม่ ลงทะเบียนไทยชนะ สำรวจตรวจสอบนักเรียนกลุ่มเสี่ยง กักกันตัวเองเมื่ออยู่ในกลุ่มเสี่ยง และ 7 มาตรการเข้มงวด ได้แก่ สถานศึกษาประเมินความพร้อมเปิดเรียนผ่าน TSC+ ทำกิจกรรมร่วมกันในรูปแบบ Small Bubble จัดระบบให้บริการอาหารตามหลักสุขาภิบาลอาหาร จัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม จัดให้มี School Isolation และแผนเผชิญเหตุ มีการควบคุมดูแลการเดินทางจากบ้านไปโรงเรียน และจัดให้มี School Pass สำหรับนักเรียน ครู และบุคลากรในสถานศึกษา รวมถึงรณรงค์การฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับนักเรียน โดยจะเร่งประชาสัมพันธ์ไปยังสถานศึกษา”เลขาฯ กพฐ. กล่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อาจารย์หมอจุฬาฯ ย้ำ Long COVID เป็นเรื่องจริง!

หมอธีระอัพเดตข้อมูลโควิด เผยทั่วโลกฉีดวัคซีนแล้ว 13,200 ล้านโดส ชี้ลอง โควิดเป็นเรื่องจริง ผลวิจัยตอกย้ำยังไม่มีวิธีรักษามาตรฐาน การป้องกันไม่ให้ติดเชื้อดีที่สุด

'นพ.ธีระ' ยกปาฐกถา 'หมอใหญ่ทำเนียบขาว' เตือนคนไทยโควิด19ยังไม่จบจริง!

'หมอธีระ' เผย WHO ได้สรุปผลเรื่องการฉีดวัคซีนบอกควรฉีดเข็มกระตุ้น 6-12 เดือนหลังรับเข็มสุดท้าย ยก 10 บทเรียนหมอใหญ่แห่งทำเนียบขาวเตือนคนไทย ชี้โควิด19 ยังไม่จบจริง

ผลวิจัยชี้ Long COVID จะทำให้ลางานมากกว่าปกติ 1.4 เท่า

'หมอธีระ' เผยแดนกิมจิยังคองแชมป์ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อโควิดใหม่สูงสุด ชี้ผลวิจัย Long COVID เมืองผู้ดีที่ศึกษาประชากร 2 แสนรายพบผู้ป่วยจะมีปัญหาลางานมากกว่ากว่าปกติ 1.4 เท่า

'นพ.ธีระ' แนะยังต้องป้องกันตัวเองเพราะไทยมีผู้ติดโควิดระดับเกินพันต่อวัน

'หมอธีระ' เผยตัวเลขล่าสุดจากองค์การอนามัยโลก โอมิครอนยึดแล้ว 99.6% โดยสายพันธุ์ที่แรงที่สุดยามนี้คือ XBB.1.5 เผยไทยยังพบผู้ติดเชื้อใหม่ในระดับเกินพันต่อวัน

'นพ.ธีระ' ชี้เป็นความท้าทายในการอยู่กับโควิด19 ซึ่งย่างเข้าสู่ปีที่ 4

'หมอธีระ' ชี้เป็นความท้าทายของโควิด-19 ที่ย่างเข้าสู่ปีที่ 4 ว่าเราจะอยู่กันอย่างไร ย้ำใช้ชีวิตประจำวันโดยใส่ใจเรื่องสุขภาพ ในขณะที่ด้านวิทยาศาสตร์ก็ต้องเร่งศึกษาวิจัย

WHO ชี้ยอดสังเวยโควิดลดลง 8%ในรอบ 4 สัปดาห์

'หมอธีระ' เผย WHO ออกรายงานโควิด ชี้ผู้เสียชีวิตในรอบ 4 สัปดาห์ที่ผ่านมาลดลงกว่าช่วงก่อนหน้าราว 8% โดยทวีปอเมริกา- แอฟริกา-เมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกยังแรงอยู่