คลินิกเถื่อน ย่านปทุมฯ รับตรวจโควิดไม่ได้รับอนุญาต สบส.ห่วงช่วง'โอมิครอน' ยิ่งต้องระวังหนัก

13 ธ.ค. 2564- นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ตามที่ กรม สบส.ได้รับการประสานจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ปทุมธานี ว่าพบเบาะแสการเปิดคลินิกเถื่อน ซึ่งให้บริการในลักษณะห้องปฏิบัติการตรวจสารคัดหลั่งของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด 19 (COVID 19) ด้วยชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) แก่ประชาชน ซึ่งคลินิกเถื่อนเหล่านี้ มักจะมีการดำเนินการที่ไม่เป็นมาตรฐานสุ่มเสี่ยงให้เกิดการระบาดของโรคโควิด 19 ยิ่งในสถานการณ์ที่มีการพบโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “โอมิครอน” (Omicron) ยิ่งต้องดำเนินการควบคุม ปราบปรามอย่างรวดเร็วเพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน จึงได้สั่งการให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของกรม สบส. สนธิกำลังร่วมกับตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ปทุมธานี ลงพื้นที่ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว ณ คลินิกเทคนิคการแพทย์ ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านกระแซง อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี

จากการตรวจสอบพบว่า คลินิกดังกล่าวให้บริการตรวจคัดกรองโรคโควิด 19 แก่ประชาชนด้วยชุดตรวจ ATK รายละ 800 บาท โดยที่ไม่ได้ขออนุญาตประกอบกิจการกับ สสจ. แต่มีการนำใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลจากสถานพยาบาลอื่นมาแสดง เพื่อตบตาผู้รับบริการ และเจ้าหน้าที่ รวมถึงผู้ให้บริการ และผู้ช่วยซึ่งอยู่ประจำคลินิกทั้ง 2 ราย ก็มิใช่แพทย์ หรือนักเทคนิคการแพทย์แต่อย่างใด พนักงานเจ้าหน้าที่ฯ จึงได้แจ้งข้อหากระทำผิดเบื้องต้น 3 ข้อหา ได้แก่ 1) ความผิดตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 ฐานประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนและได้รับอนุญาต (คลินิกเถื่อน) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 2) ความผิดตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ฐานประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนและได้รับอนุญาต (หมอเถื่อน) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ 3)ความผิดตามพระราชบัญญัติเทคนิคการแพทย์ พ.ศ.2547 ในฐานประกอบวิชาชีพเทคนิคการแพทย์โดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พร้อมยึดของกลางที่ได้ส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไป

ด้านนพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ รองอธิบดีกรม สบส. กล่าวต่อว่า การตรวจสารคัดหลั่งของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะต้องกระทำในคลินิก หรือห้องปฏิบัติการที่มีการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มิฉะนั้น ก็อาจจะเป็นการเสียเวลา และเงินทองโดยเปล่าประโยชน์ ด้วยการที่ผู้ให้บริการขาดความชำนาญ หรืออุปกรณ์การตรวจคัดกรองที่ไม่ได้มาตรฐานผลตรวจที่ได้ก็อาจจะขาดความเที่ยงตรง อีกทั้งวิธีการที่ไม่ถูกต้องก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ หรือการระบาดจากสถานที่เก็บตัวอย่าง จึงขอให้ประชาชนตรวจสอบรายชื่อสถานพยาบาลทุกครั้งก่อนรับบริการ โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อคลินิกที่ขึ้นทะเบียนได้ที่เว็บไซต์กองสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ (http://mrd-hss.moph.go.th/) และในส่วนของห้องปฏิบัติการ หรือห้องแล็บ ที่ตรวจคัดกรองด้วยวิธี RT-PCR สามารถตรวจสอบรายชื่อได้ที่เว็บไซต์กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ (https://www.dmsc.moph.go.th/) ซึ่งจะมีการแสดงที่ตั้งของสถานพยาบาล หรือห้องปฏิบัติการเหล่านั้นอย่างชัดเจน หากตรวจสอบรายชื่อไม่พบ หรือสถานที่ตั้งไม่ตรงกับที่แสดงในเว็บไซต์ ขอให้ตั้งข้อสงสัยไว้เบื้องต้นว่าเป็นคลินิกเถื่อน หรือห้องแล็บเถื่อนให้หลีกเลี่ยงรับบริการ และแจ้งเบาะแสมาที่สายด่วน 1426 กรม สบส.ในวันและเวลาราชการ แต่หากอยู่ในส่วนภูมิภาคก็สามารถแจ้งได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ไทยติดโควิดใหม่รอบสัปดาห์ 150 ราย ดับ 6 คน

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รายสัปดาห์ว่า ระหว่างวันที่ 19 – 25 มี.ค. 2566 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ รักษาในโรงพยาบาล (รายสัปดาห์) 150 ราย

'หมอยง' ชี้ ATK ไม่จำเป็นต้องตรวจในคนปกติ

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า

ผลวิจัยพบ 'โควิด' ส่งผลกระทบสมองและความจำ

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว "Thira Woratanarat" เปิดเผยว่า เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 64,067 คน ตายเพิ่ม 294 คน รวมแล้วติดไป 681,473,367 คน เสียชีวิตรวม 6,811,653 คน

จับตา! ไข้หวัดใหญ่ H3N2 สายพันธุ์อินเดีย

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ทำไมเมื่อจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ในอินเดียลดลง จำนวนผู้ป่วยไวรัสไข้หวัดใหญ่ “H3N2”