WHOห่วงหญิงตั้งครรภ์ไทยฉีดวัคซีนครบโดสน้อยแค่16.4%

22 ธ.ค.2564-กระทรวงสาธารณสุข ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย และองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย ได้จัดงานแถลงข่าวให้ข้อมูลรณรงค์หญิงท้องเข้ารับวัคซีนเพื่อลดการเจ็บป่วยรุนแรงจากการติดโควิด 19 เนื่องจาก หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อโควิด-19 มีความเสี่ยงสูงมากกว่าผู้หญิงในวัยเดียวกันที่ไม่ท้อง ในการเกิดการเจ็บป่วยรุนแรงและอาจมีอาการหนักจนต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ผลการศึกษาล่าสุดจากการทดลองทางคลินิกระดับโลกของ ChAdOx1 nCoV-19 วัคซีน Astra Zeneca 1 แสดงให้เห็นว่าวัคซีนโควิด 19 ไม่มีผลต่อภาวะเจริญพันธุ์ ไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร หรือการตายของทารกในครรภ์ในสตรีที่ได้รับวัคซีนก่อนตั้งครรภ์

ในประเทศไทย ข้อมูลการติดเชื้อโควิด 19 ในหญิงตั้งครรภ์ระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 11 ธันวาคม พ.ศ. 2564 รายงานว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อทั้งหมด 6,102 ราย (850 ต่อเดือน หรือ 28 คนต่อวัน) เป็นคนไทย 4,280 ราย และชาวต่างชาติ 1,822 ราย ทำให้มีหญิงตั้งครรภ์เสียชีวิต 103 ราย (1.7%) และทารกเสียชีวิต 55 ราย โดยราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย เตือนว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อโควิด 19 มีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าประชากรทั่วไปเกือบสองเท่า


สำหรับ ข้อมูลการฉีดวัคซีนหญิงตั้งครรภ์ในประทศไทย(28 กุมภาพันธ์ -17ธันวาคม 2564 มีกลุ่มเป้าหมาย 500,000 ราย ได้รับวัคซีนเข็มที่1 จำนวน 100,807 ราย หรือคิดเป็น 20.2% เข็มที่สอง จำนวน 81,936 ราย คิดเป็น16.4 % และรับวัคซีนเข็มที่ 3 แล้วจำนวน 2,416 รายหรือ 0.5%


ดร.จอส ฟอนเดลาร์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประเทศไทย กล่าวว่า การฉีดวัคซีนครบสองเข็มจะช่วยเพิ่มการป้องกันจากความร้ายแรงของไวรัส SARS-CoV-2 ในประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว เราเข้าใจว่าหญิงตั้งครรภ์จะมีความระมัดระวังเป็นพิเศษต่อการตัดสินใจที่ส่งผลต่อสุขภาพของตนเองและลูกในครรภ์ อย่างไรก็ดี การไม่ฉีดวัคซีนเป็นการเพิ่มความเสี่ยง หญิงตั้งครรภ์ที่ไม่ได้รับวัคซีนถ้าติดเชื้อโควิด 19 มีโอกาสจะเจ็บป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิต วัคซีนโควิด 19 ทุกชนิดที่องค์การอนามัยโลกและประเทศไทยอนุญาตให้ใช้ในปัจจุบัน มีความปลอดภัยต่อผู้หญิงท้องและทารกในครรภ์และทารกแรกเกิด ซึ่งวัคซีนนี้มีพร้อมสำหรับหญิงตั้งครรภ์และสามารถฉีดได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
” ผมอยากเชิญชวนให้ทุกคน โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัวเข้ารับวัคซีนให้ครบโดส” เพื่อลดการเจ็บป่วยรุนแรงจากการติดโควิด 19″ ดร.จอสกล่าว

ด้านนพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยได้ทำการเก็บข้อมูลของแม่ที่ได้รับวัคซีนขณะตั้งครรภ์และคลอดแล้วจำนวน 1,215 คน ยังไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงใดๆ อุบัติการณ์ของการแท้ง ทารกตายในครรภ์ ทารกแรกเกิดน้ำหนักน้อย หรือการเกิดความพิการแต่กำเนิด ไม่แตกต่างจากหญิงตั้งครรภ์ทั่วไป กรมอนามัย จึงจะขอสื่อสารกับสื่อมวลชนให้ช่วยกันรณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้กับหญิงตั้งครรภ์ ว่า ” หญิงตั้งครรภ์ ถือเป็นกลุ่มเสี่ยง ถ้าติดโควิด 19 แล้วจะเกิดอาการรุนแรงได้มากกว่าคนทั่วไป” ดังนั้น หญิงตั้งครรภ์ อย่าลังเลที่จะมารับวัคซีน และขอให้ครอบครัวของหญิงตั้งครรภ์ ตลอดจน บุคลากรทางการแพทย์ มีความมั่นใจในวัคซีนโควิด 19 และได้ช่วยกันสนับสนุนหญิงตั้งครรภ์ให้ได้รับการฉีดวัคซีนในสถานพยาบาลใกล้บ้าน

นพ. สนธิไชย นายแพทย์ชานาญการ กองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า หลักการสำคัญในการให้บริการวัคซีนโควิด 19 ของประเทศไทย ในปี 2565 ประกอบด้วย 1) เพื่อให้ประชากรทุกคนในแผ่นดินไทยได้รับวัคซีนด้วยความสมัครใจและครอบคลุม 2) เพื่อเตรียมการรองรับการระบาดรวมถึงเชื้อกลายพันธุ์ 3) เพื่อลดความรุนแรงและการเสียชีวิตในประชากรทุกกลุ่มอายุ และ 4) เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภาคธุรกิจ ภาคการศึกษา การท่องเที่ยว และการเปิดประเทศ ตามแผนที่กำหนด
ทั้งนี้ สำหรับนโยบายการให้วัคซีนโควิด 19 ในหญิงตั้งครรภ์ ทางคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ครั้งที่ 9/2564 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2564 มีมติเห็นชอบให้กลุ่มหญิงตั้งครรภ์เป็นกลุ่มเสี่ยงเพิ่มเติมที่ควรได้รับวัคซีนโควิด 19 และคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 ได้แจ้งแนวทางการฉีดวัคซีนโควิด 19 ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเพิ่มเติม เพื่อเร่งรัดให้วัคซีนในกลุ่มเป้าหมายทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่มีความเสี่ยงป่วยรุนแรงและเสียชีวิต ซึ่งรวมถึงหญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันในหญิงตั้งครรภ์อย่างทั่วถึง

พลอากาศโทนพ.การุณ เก่งสกุล ประธานราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า เหตุผลที่หญิงตั้งครรภ์มีความกังวลในการฉีดวัคซีนโควิด 19 คือเรื่องความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกและสำนักง่านเลขาธิการอาหารและยาของประเทศไทยได้ทำการตรวจสอบข้อมูลด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยและอนุมัติวัคซีนโควิด 19 ที่มีความปลอดภัยและสามารถใช้ได้กับหญิงตั้งครรภ์ เราจึงอยากเชิญชวนให้หญิงตั้งครรภ์ติดต่อสถานพยาบาลใกล้บ้านเพื่อรับวัคซีนโดยเร็วที่สุด

นอกจากกลุ่มหญิงตั้งครรภ์แล้ว กระทรวงสาธารณสุขและองค์การอนามัยโลกอยากเชิญชวนให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ ทั้งผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว (กลุ่ม 607) เข้ารับวัคซีนโควิด 19 โดยเร็วที่สุดด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ จากการสำรวจ YouGov ล่าสุดที่จัดทำโดยองค์การอนามัยโลก ประเทศไทย พบว่าประชาชนกลุ่มเสี่ยง หรือ กลุ่ม 608 จำนวน 31เปอร์เซ็นต์ ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ซึ่งมีจำนวนมากกว่าประชากรไทยส่วนใหญ่ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเพียง 21 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ ประชากรในกลุ่ม 608 จำนวน 15 เปอร์เซ็นต์ ไม่แน่ใจหรือไม่ต้องการฉีดวัคซีน เปรียบเทียบกับประชาชนในกลุ่มทั่วไปที่ไม่ประสงค์จะฉีดวัคซีนมีเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ ยังคงลังเลที่จะรับวัคซีนเข็มที่ 2 จึงเชิญชวนให้บุคคลที่มีโรคประจาตัว (607) ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง เช่น ปอดอุดกั้นเรื้อรัง และโรคหอบหืดที่ควบคุมได้ไม่ดี โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตเรื้อรัง ที่อยู่ในระยะ 5 ขึ้นไป (ไตวายเรื้อรัง) โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งทุกชนิด ที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วย เคมีบาบัด รังสีบาบัด และภูมิคุ้มกันบาบัด โรคอ้วน น้าหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม เข้ารับการฉีดวัคซีน

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ศูนย์จีโนมฯ อัปเดตผลทดลอง 'วัคซีนโควิด' รุ่นล่าสุด 'XBB.1.5 โมโนวาเลนต์'

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า องค์การอนามัยโลกระบุวัคซีนโควิด-19 เจนเนอเรชั่นล่าสุด “XBB.1.5 โมโนวาเลนต์”

ชวนหญิงตั้งครรภ์ตรวจคัดกรอง 'ดาวน์ซินโดรม-ธาลัสซีเมีย'

รัฐบาลเชิญชวนหญิงไทยตั้งครรภ์ทุกคน ทุกสิทธิรักษาพยาบาล รับบริการตรวจคัดกรอง 'ดาวน์ซินโดรม' และ 'ธาลัสซีเมีย' ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์ฝากครรภ์ กองทุนบัตรทอง

นักไวรัสวิทยาแนะทำตัวเหมือนป้องกันโควิดสกัดไข้หวัดใหญ่ที่พุ่งช่วงนี้ได้

นักไวรัสวิทยาแจงรายละเอียดข้อมูลไข้หวัดใหญ่ไทยกับ WHO เตือนช่วงนี้ตัวเลขไทยพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง แนะใช้ช่องป้องกันตัวเหมือนโควิด