ไทย-อินเดียร่วมวิจัยในมนุษย์ระยะ3 'โมโนโคลนอล' แอนติบอดี รักษาไข้เลือดออก

สถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย (Serum Institute of India) ผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ที่สุดของโลก และองค์กรวิจัยทางการแพทย์ไม่แสวงผลกำไร Drugs for Neglected Diseases initiative (DNDi) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ เพื่อร่วมกันพัฒนาและผลิตยาโมโนโคลนอลแอนติบอดีสำหรับการรักษาโรคไข้เลือดออก ที่มีราคาย่อมเยาว์ และสามารถเข้าถึงได้ในประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลาง

ทั้งสององค์กรจะจัดทำแผนปฏิบัติงานร่วมกัน เพื่อดำเนินการวิจัย พัฒนา ทำการศึกษาวิจัยในมนุษย์ระยะที่ 3 และ ส่งเสริมให้มีการเข้าถึงการรักษา รวมถึงวางแผนกลยุทธ์ในการระดมทุนและทรัพยากร และหากผลการศึกษายืนยันว่าปลอดภัยและได้ผล จะมีการผลักดันให้ได้รับการขึ้นทะเบียนและนำไปใช้ในอินเดียและประเทศที่มีการระบาดของไข้เลือดออกอื่นๆ ต่อไป

“ไข้เลือดออกเป็นโรคที่แพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว และอ่อนไหวต่อสภาพภูมิอากาศ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะ เราภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับสถาบันเซรุ่มแห่งอินเดียในการพัฒนายาที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้ง่าย ความร่วมมือครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ผู้ที่มีความเสี่ยงโดยเฉพาะในประเทศที่มีโรคระบาด สามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างเท่าเทียมและทันเวลา” นพ.อังเดร ซิเกร่า หัวหน้าทีมโรคไข้เลือดออกขององค์กร DNDi กล่าว

นพ. ปราสาด กุลกรณี กรรมการบริหาร สถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้กับ DNDi จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนายาแอนติบอดีโมโนโคลนอลสำหรับโรคไข้เลือดออกในบราซิล และอาจรวมถึงประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการระบาดของโรค โดยมุ่งเน้นให้การรักษาเข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสม เราหวังว่าความร่วมมือนี้จะช่วยลดภาระจากโรคไข้เลือดออกและช่วยชีวิตผู้คนในชุมชนที่เปราะบางได้อย่างแท้จริง

สถาบันเซรุ่มฯ ได้ดำเนินการทดลองทางคลีนิกในระยะเริ่มต้น ผลปรากฏว่าสารต้นแบบ (ชื่อเดิม VIS513) มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน กำลังดำเนินการทดลองการศึกษาวิจัยในมนุษย์ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญสำหรับการขึ้นทะเบียนยาในประเทศอินเดีย

ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว องค์กร DNDi จะเป็นผู้นำในการศึกษาวิจัยในมนุษย์ระยะที่ 3 ในประเทศบราซิล และ  ประเทศอื่นๆ ทางสถาบันเซรุ่มฯ จะรับผิดชอบด้านการผลิต พัฒนา และจัดหายาแอนติบอดีโมโนโคลนอลสำหรับการทดลอง รวมถึงการกำหนดแนวทางด้านกฎระเบียบ และเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดในประเทศอินเดีย

การทำงานร่วมกันของนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และข้อมูล ถือเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งในการวิจัยเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก ด้วยเหตุนี้เครือข่าย Dengue Alliance จึงได้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2565 โดยความร่วมมือของหน่วยงานและสถาบันวิจัยจากประเทศที่ประสบปัญหาการระบาดของโรค โดยมีองค์กร DNDi เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง เครือข่ายนี้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาการรักษาโรคไข้เลือดออก และส่งเสริมการเข้าถึงการรักษาอย่างเท่าเทียมทั่วโลก

รศ. ดร.พญ. ปนิษฎี อวิรุทธ์นันท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาและภูมิคุ้มกันวิทยาของโรคไข้เลือดออก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความเห็นว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญที่ตอบโจทย์ช่องว่างด้านการรักษา การพัฒนายาโมโนโคลนอลแอนติบอดีที่ครอบคลุมทั้ง 4 สายพันธุ์ของไวรัสจะช่วยลดอัตราการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้อย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อนที่มีการระบาดสูง นอกจากนี้ การที่ความร่วมมือครอบคลุมประเทศที่แบกรับภาระโรคคล้ายกันอย่างอินเดีย บราซิล และไทย ไม่ได้เป็นเพียงแบบอย่างของการแบ่งปันองค์ความรู้เท่านั้น แต่เป็นกลยุทธ์ทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เราสามารถประเมินประสิทธิภาพของยาต่อเชื้อไวรัสเดงกีที่มีความหลากหลายทางพันธุกรรมในแต่ละพื้นที่ได้โดยตรง รวมถึงศึกษาการตอบสนองของยาในประชากรที่มีพื้นฐานภูมิคุ้มกันต่างกัน ข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ได้จากพื้นที่จริงเหล่านี้ จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยเร่งรัดการขึ้นทะเบียนยา และทำให้คนไทยและผู้ป่วยในประเทศรายได้ปานกลางอื่นๆ เข้าถึงการรักษาที่จำเป็นนี้ได้เร็วขึ้นอย่างแท้จริง

รศ. ดร.พญ. ปนิษฎี อวิรุทธ์นันท์

ปัจจุบัน มีประชากรกว่า 3.9 พันล้านคนทั่วโลกที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไข้เลือดออก และจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าตั้งแต่ปี พ.ศ.2564 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการขยายตัวของเมืองทำให้โรคแพร่กระจายไปยังพื้นที่ที่ไม่เคยระบาดมาก่อน และยังไม่มีวิธีการรักษาเฉพาะโรค การพัฒนายาที่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดอาการรุนแรง จึงมีบทบาทสำคัญในการลดอัตราการเสียชีวิต และป้องกันไม่ให้โรงพยาบาลมีภาระเกินขีดความสามารถในช่วงการระบาด


สำหรับ สถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2509 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Cyrus Poonawalla Group เป็นผู้นำระดับโลกด้านการผลิตวัคซีน โดยมุ่งมั่นในการจัดหาวัคซีนในราคาที่เข้าถึงได้ให้กับประชากรทั่วโลก ปัจจุบัน สถาบันเซรุ่มฯ  เป็นผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ที่สุดของโลก มีการดำเนินงานในกว่า 170 ประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และยุโรป มีโรงงานผลิตขนาดใหญ่ ที่มีกำลังการผลิตสูงถึง 4 พันล้านโดสต่อปี สถาบันเซรุ่มฯ ได้ช่วยชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 30 ล้านรายตลอดหลายปีที่ผ่านมา.

Drugs for Neglected Diseases initiative (DNDi) เป็นองค์กรวิจัยทางการแพทย์ไม่แสวงหากำไร ที่ทำหน้าที่ค้นคว้า พัฒนา และส่งมอบการรักษาที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และราคาจับต้องได้ สำหรับผู้ป่วยที่ที่มักถูกละเลยDNDi กำลังพัฒนายาสำหรับโรคต่างๆ อาทิ โรคลิชมาเนีย โรคชากัส ไข้เลือดออก เอชไอวีในเด็ก โรคเอชไอวีระยะลุกลาม เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อคริปโตค็อกคัส และโรคไวรัสตับอักเสบซี โดยให้ความสำคัญกับโรคที่ส่งผลต่อสุขภาพเด็ก ความเท่าเทียมทางเพศ และโรคที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ DNDi ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2546 และนับแต่นั้นเป็นต้นมา ได้ร่วมมือกับภาคีทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลก พัฒนายา 13 รายการ และช่วยชีวิตผู้คนมาแล้วนับล้านราย  

ในปี พ.ศ.2561 นพ.แบร์นาร์ เปกูว์ ผู้ก่อตั้งและอดีตผู้อำนวยการ DNDi ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล สาขาสาธารณสุข ในฐานะผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างนวัตกรรมการวิจัยและพัฒนายาเพื่อผู้ป่วยในประเทศกำลังพัฒนา.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คาดส่งออก‘กุ้งไทย’ปี69 ฟื้นรับอานิสงค์ภาษีทรัมป์ทุบคู่แข่ง

ผู้เลี้ยงกุ้งไทยรับอานิสงค์ภาษีทรัมป์ทุบคู่แข่งอินเดียอ่วม 60% คาดส่งออกปี 69 ฟื้น วอนรัฐเร่งแก้ปัญหากุ้งทั้งระบบ เพิ่มผลผลิตกุ้งคุณภาพ 4 แสนตัน พร้อมแนะผู้เลี้ยงมุ่งสู่มาตรฐานกุ้งยั่งยืน ASC

'นักวิชาการ' ชี้นายกฯป้องอธิปไตย ไม่ทำไทยเสี่ยง 'รัฐบริวาร'

รศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ไทยไม่ใช่ “รัฐบริวาร”!

อดีตบิ๊กศรภ. ชี้เหตุผลสำคัญไม่ต้องกลัว 'สหรัฐ' ทิ้ง 'ไทย' แนะรัฐบาลมีจุดยืนมั่นคง

สำหรับพี่ไทยนั้น แม้จะไม่ยอมให้สหรัฐ เข้ามาตั้งฐานทัพ แต่สหรัฐ ก็หวงแหนประเทศไทยมาก เพราะภูมิศาสตร์ที่ตั้งของไทย สหรัฐยังใช้ประโยชน์ได้อีกหลายเรื่อง

นั่นไง! ‘รัศม์‘ ชี้เปรี้ยง ‘อนุทิน’ พูดท้าทายสหรัฐก่อน ทำให้เกิดผลเสียต่อประเทศ

นายรัศม์ ชาลีจันทร์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างประเทศในรัฐบาลแพทองธาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า