ผ่าข้อเสนองานวิจัย: ปลดล็อก 'กลไกงบประมาณ' ปลดปล่อยศักยภาพชุมชนรับมือวิกฤตสุขภาพ

ความช่วยเหลือจากส่วนกลางและการสนับสนุนจากภาครัฐ อาจไม่ทันท่วงที เมื่อเทียบกับอัตราความเร็วและจังหวะการเข้าจู่โจมอย่างฉับพลันของโรคร้าย ซึ่งทุกคนได้ผ่านประสบการณ์ร่วมกันมาแล้วจากวิกฤตสุขภาพครั้งประวัติศาสตร์ อย่างโควิด-19

ในระหว่างที่ส่วนกลางหรือภาครัฐกำลังตั้งหลัก วิกฤตการณ์ได้รุกคืบและขยายวงกว้างออกไปโดยไม่รีรอ มีคนจำนวนไม่น้อยถูกโรคร้ายบ่อนเซาะ นำไปสู่ความสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิด

ทว่าในบางชุมชน-บางพื้นที่ ภัยสุขภาพเหล่านั้นกลับไม่สามารถย่างกรายเข้าไปได้เลย หรือถ้ามีหลุดรอดเข้าไปบ้าง มันก็ไม่อาจสำแดงโทษออกมาได้อย่างเต็มฤทธิ์เต็มเดช ส่วนหนึ่งเพราะคนในชุมชนมีศักยภาพ เป็น ‘พลเมืองตื่นรู้’ (Active Citizen) และมีการใช้กระบวนการการมีส่วนร่วมในการป้องกันและควบคุมโรค โดยอาศัย ‘ทุนทางสังคม’ เป็นฐานสำคัญ

ผศ.ดร.พรฤดี นิธิรัตน์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี หนึ่งในทีมวิจัยโครงการ “ยกระดับศักยภาพการรับมือกับภาวะวิกฤตด้านสุขภาพด้วยนวัตกรรมการจัดการระบบสุขภาพปฐมภูมิโดยชุมชน: กรณีศึกษาชุมชนพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด” ที่ดำเนินการโดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) อธิบายว่า ทุนทางสังคมจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของสมาชิกในชุมชน และเป็นทุนที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ตัวอย่างทุนทางสังคม อาทิเช่น ความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจที่มีให้ต่อกันในชุมชน ความรู้สึกว่าเราสามารถพึ่งพาอาศัยกันได้ ความรู้สึกว่าเราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ชุมชนของเราดี หรือต้องมาร่วมกันทำอะไรเพื่อแก้ไขปัญหาของชุมชน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะส่งเสริมให้เกิดการปฏิบัติให้คนในชุมชนเข้ามาทำอะไรร่วมกัน

หลายชุมชนมีการทำงานอย่างเป็นระบบ ภายใต้ความยืดหยุ่นและคล่องตัว มีการประสานการทำงานทั้งภายในและภายนอกชุมชน จนเกิดเป็น ‘มาตรการชุมชน’ และ ‘นวัตกรรมทางสังคม’ ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์แยกกักหรือศูนย์พักคอยในชุมชน ระบบการจัดการอาหารสนับสนุนการแยกกักหรือกักตัวในชุมชน ระบบอาสาสมัครช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ระบบการประสานดูแลและส่งต่อผู้ป่วย ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มีส่วนสำคัญในการหนุนเสริมมาตรการป้องกันและควบคุมโรคของส่วนกลางหรือภาครัฐ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

นอกเหนือจากทุนทางสังคมและการประสานเครือข่าย ที่นำไปสู่มาตรการชุมชนและนวัตกรรมทางสังคมแล้ว ‘กลไกทางการเงิน’ คืออีกปัจจัยในสมการความสำเร็จ ที่มาช่วยหมุนฟันเฟืองชุมชนให้เคลื่อนไปข้างหน้า

ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ รองผู้อำนวยการ สวรส. ในฐานะหน่วยงานสนับสนุนทุนการวิจัยฯ บอกว่า จากผลการวิจัยที่ได้ลงไปศึกษาพื้นที่ 17 ชุมชน ทั้งใน กทม. และในจังหวัดอื่นๆ ที่เคยมีนวัตกรรมสังคมในจัดการสถานการณ์โควิด-19 พบว่า แม้ชุมชนทั้งหมดต่างมีทุนทางสังคมที่สำคัญที่จะต่อยอดได้ไปสู่ความยั่งยืนและมั่นคงได้ แต่ปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบของความสำเร็จชุมชนนั้น นอกจาก ‘โหนดพี่เลี้ยง’ หรือภาคประชาสังคมที่เข้ามาดูแลชุมชนและทำงานร่วมกันแล้ว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ก็มีส่วนสำคัญ โดยสามารถสนับสนุนผ่านเครื่องมือที่ชื่อว่า ‘กองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่’ หรือที่คุ้นกันในชื่อ กปท. หรือ กองทุนสุขภาพตำบล

ผศ.ดร.จรวยพร ยกตัวอย่างจากผลการวิจัย ที่พบว่า 8 ชุมชนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ กทม. ต่างได้รับงบประมาณจากกองทุนหลักประกันสุขภาพกรุงเทพมหานคร หรือ กปท. ของ กทม. เพื่อนำมาใช้สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค รับมือกับภัยสุขภาพในช่วงวิกฤตการณ์ ซึ่งในอดีตเงินก้อนนี้เคยค้างท่ออยู่เฉยๆ เกือบ 2,000 ล้านบาท โดยที่ชุมชนไม่สามารถเข้าถึงได้ เนื่องจากมีข้อติดขัดในเรื่องระเบียบและเงื่อนไข จนกระทั่งผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เข้ามาช่วยปลดล็อกอุปสรรค เงินจึงไหลออกมาสู่ชุมชนและเกิดประโยชน์กับประชาชนได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

“ตรงนี้สะท้อนว่านโยบายของผู้นำท้องถิ่นสำคัญอย่างมาก ซึ่งจากงานวิจัยที่ สวรส. ได้สนับสนุนพบว่า งบประมาณเป็นส่วนสำคัญที่ชุมชนอยากนำออกไปใช้เพื่อทำงาน โดยเฉพาะกับการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ดังนั้นในวันนี้่ หน่วยงานภาครัฐจะต้องช่วยกันปลดล็อกข้อจำกัดนี้ให้ชุมชน หากมีการปลดล็อกระเบียบและเงื่อนไขการขอรับงบประมาณสนับสนุนให้เป็นมิตรกับชุมชนมากขึ้น ก็จะทำให้ชุมชนสามารถเข้าถึงเงินทุนในการรับมือกับภาวะวิกฤตด้านสุขภาพได้ ขณะเดียวกันทางชุมชนก็ต้องยอมให้ถูกตรวจสอบการใช้งบประมาณตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความโปร่งใสด้วย” ผศ.ดร.จรวยพร ระบุ

สำหรับโครงการ “ยกระดับศักยภาพการรับมือกับภาวะวิกฤตด้านสุขภาพด้วยนวัตกรรมการจัดการระบบสุขภาพปฐมภูมิโดยชุมชน: กรณีศึกษาชุมชนพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด” ที่ดำเนินการโดย สช. ภายใต้การสนับสนุนของ สวรส. นั้น ว่าด้วยข้อเสนอของการยกระดับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ เพื่อสนับสนุนชุมชนให้เกิดความเข้มแข็ง ซึ่งในมุมมองของนักวิชาการด้านระบบสุขภาพแล้ว ปัจจุบันทุกชุมชนในประเทศไทยมีระเบิดเวลาด้านสุขภาพที่รออยู่ 2 ลูก คือสถานการณ์โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs และสถานการณ์ผู้สูงอายุ ดังนั้นทุกชุมชนต้องเตรียมพร้อม อปท. หรือท้องถิ่น ต้องกำหนดแนวทางการสนับสนุน เพื่อพัฒนานวัตกรรมเพื่อดูแลสุขภาพ

“ภาคส่วนท้องถิ่น ทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กทม. รวมไปถึงภาครัฐ อย่างกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ก็ควรต้องแก้ระเบียบ ประกาศ คำสั่ง ที่เกี่ยวกับกองทุนสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค เพื่อให้ชุมชนเข้าถึงได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพชุมชนที่จะนำไปสู่การมีระบบสุขภาพของชุมชนบนหลักฐานเชิงประจักษ์และหลักฐานทางข้อมูล และการเกิดขึ้นของนวัตกรรมทางสังคมที่จะเข้ามายกระดับคุณภาพชีวิตคนในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล” ผศ.ดร.จรวยพร เน้นย้ำ

สอดคล้องกับ นพ.ปรีดา แต้อารักษ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัย ที่ระบุว่า งบประมาณเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสนับสนุนทุนทางสังคมของชุมชนให้เข้มแข็ง ซึ่งเป็นบทบาทของ อปท. ที่จะเข้าไปหนุนเสริมได้ผ่านกองทุนสร้างเสริมสุขภาพต่างๆ ในระดับพื้นที่ อาทิ กองทุน กปท. กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพระดับจังหวัด รวมไปถึงกองทุน LTC หรือกองทุนระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง และหากมีการปลดล็อกให้ชุมชนที่รวมกลุ่มกันสามารถเข้าถึงงบประมาณของของท้องถิ่นได้ ก็จะเป็นการสนับสนุนให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา และส่งเสริมสุขภาพของคนในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดศักยภาพสำหรับการเผชิญกับวิกฤติสุขภาพของชุมชนในอนาคต

อย่างไรก็ดี งบประมาณอย่างเดียวอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย สิ่งที่จะช่วยปลดล็อกให้ชุมชนเข้มแข็งขึ้นมาได้ผ่านทุนทางสังคมที่พวกเขามี คือการหนุนเสริมให้เกิดรูปแบบความร่วมมือของคนในชุมชนอย่างมีศักยภาพ

หากท้องถิ่นสามารถออกข้อบัญญัติ ระเบียบ หรือมีนโยบายส่งเสริมรูปแบบการจัดทำโครงสร้างการทำงานอย่างเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ โดยให้ชุมชน หน่วยงานภาครัฐ-เอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาชน ได้ร่วมกันขับเคลื่อนในประเด็นที่เห็นตรงกันก็จะเกิดการทำงานเชิงระบบของชุมชนโดยมีทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม และหากมีงบประมาณท้องถิ่นและกองทุนต่างๆ ที่เข้าไปหนุนเสริม จะยิ่งสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน และทำให้ชุมชนเผชิญกับวิกฤตด้านสุขภาพได้อย่างเป็นระบบ นพ.ปรีดา กล่าว

เพื่อให้ข้อเสนอเกิดขึ้นจริง ‘นพ.ปรีดา’ บอกว่า หน่วยงานระดับนโยบาย อาทิ กรม กอง กระทรวงที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย (มท.) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก.ก.ถ.) ต้องพิจารณาในเรื่องการปรับข้อบัญญัติเพื่อเอื้อให้ท้องถิ่นมีศักยภาพในการหนุนเสริมชุมชนให้เข้มแข็ง ขณะที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และ สปสช. ก็ต้องจัดระบบสนับสนุน หรือปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อช่วยให้เกิดความเข้มแข็งของชุมชน และเปิดช่องให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการผลักดันการดำเนินงานต่างๆ มากกว่าแค่การรับการช่วยเหลือจากภาครัฐ

อนึ่ง จากผลการวิจัย 17 ชุมชน สะท้อนออกมาค่อนข้างชัดเจนว่า ปัญหาวิกฤตสุขภาพที่ชุมชนจะเผชิญในอนาคตนั้น หากมีการจัดการร่วมกัน ใช้ทุนทางสังคมที่เข้มแข็ง และประสานการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานนอกพื้นที่ที่ทำงานด้านสุขภาพ-สุขภาวะ ก็จะสามารถก้าวผ่านทุกปัญหาไปได้ ส่วนแนวทางการดูแลสุขภาพของประชาชนที่ดีคือการใช้หลักการ ‘สร้างนำซ่อม’ หมายถึงการให้น้ำหนักความสำคัญที่การสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคเป็นหลัก เพื่อปกป้องไม่ให้คนเจ็บป่วยถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อจนต้องเข้ารับการรักษา หรือ ‘ซ่อม’

การสร้างเสริมสุขภาพที่ดีอย่างต่อเนื่องจากนวัตกรรมที่มีในชุมชน จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยได้จริง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'สมศักดิ์' นำขับเคลื่อนโครงการ 'คนไทย 7.2 ล้าน รู้ค่าความเสี่ยงโรคไต'

ที่โรงแรมทีเค พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น กทม. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดตัวและประกาศเจตนารมณ์ขับเคลื่อนโค

‘สมศักดิ์’ ปลื้ม คนนับคาร์บต่อเนื่องผ่านแอปพลิเคชั่น สมาร์ท อสม.แล้วกว่า 4.4 แสนคน

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ความก้าวหน้าการดำเนินงาน อสม.ชวนคนไทยนับคาร์บ ตามนโยบาย NCDs ดีได้ด้วยกลไก อสม. โด

'สมศักดิ์' ตอบกระทู้ สว. ย้ำนโยบายรัฐบาลเพื่อไทย สอดรับแนวคิดแพทย์ชนบท

ที่รัฐสภา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตอบกระทู้ที่นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา ตั้งถามกรณีแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนแนวคิดและการดำเนินงานของขบวนการ

'สมศักดิ์' ยันนโยบายแอลกอฮอล์ หนุนท่องเที่ยว-ไม่ลดวันห้ามขายวันพระใหญ่

รมว.สาธารณสุข แจงที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ เน้นสนับสนุนการท่องเที่ยว หลังรายได้พุ่ง-นักท่องเที่ยวทะลุ 35 ล้านคน ย้ำยังคงห้ามขายเหล้า 5 วันพระใหญ่เหมือนเดิม