ศาลปกครองกลาง พิพากษายกฟ้องคดีถอดถอน “สืบพงศ์ ปราบใหญ่” พ้นตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ชี้ใช้วุฒิปริญญาไม่รับรอง และมีพฤติการณ์ผิดจรรยาบรรณ ถือเป็นเหตุอันชอบ
5 เมษายน 2568 - เมื่อวันที่ 4 เม.ย.68 ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาในคดีรวมการพิจารณาคดีหมายเลขดำที่ บ.152/2566, บ.362/2565, 2409/2566 หมายเลขแดงที่ บ.127/2568, บ.128/2568 และ 696/2568 ระหว่าง นายสืบพงศ์ ปราบใหญ่ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 กับพวกรวม 28 คน กับมหาวิทยาลัยรามคำแหง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 กับพวกรวม 5 คน
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ฟ้องว่ามติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 (สภามหาวิทยาลัยรามคำแหง) ที่ให้บอกเลิกสัญญาจ้างกับผู้ฟ้องคดีที่ 1 และถอดถอนผู้ฟ้องคดีที่ 1 ออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง รวมทั้งแต่งตั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นมติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ฟ้องว่าผู้ฟ้องคดีที่ 1 กับพวกกระทำละเมิดต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จากการไม่หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง และรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง
คดีมีประเด็นที่ศาลปกครองกลางต้องวินิจฉัยรวมสามประเด็น ดังนี้ประเด็นที่หนึ่ง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 บอกเลิกสัญญาจ้างผู้ฟ้องคดีที่ 1 เป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ตำแหน่งอาจารย์ โดยชอบด้วยข้อสัญญาและกฎหมายหรือไม่
ศาลปกครองกลางเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้ทำสัญญาจ้างผู้ฟ้องคดีที่ 1 เป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ตำแหน่งอาจารย์ โดยมีการกำหนดคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งว่าผู้ฟ้องคดีที่ 1 ต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก เมื่อคุณวุฒิ Doctor of Business Administration จาก Pacific States University ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ผู้ฟ้องคดีสำเร็จการศึกษา มิได้รับการรับรองตามหลักเกณฑ์ของทางราชการ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 จึงเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติเฉพาะในเรื่องของคุณวุฒิการศึกษาระดับปริญญาเอกขณะที่เข้าทำสัญญาจ้างเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ตำแหน่งอาจารย์ ดังนั้นการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 บอกเลิกสัญญาจ้างผู้ฟ้องคดีที่ 1 จึงชอบด้วยข้อสัญญา
ประเด็นที่สอง มติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ที่ถอดถอนผู้ฟ้องคดีที่ 1 ออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง และแต่งตั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เป็นผู้รักษาราชการแทน ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ศาลปกครองกลางเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 มีมติถอดถอนผู้ฟ้องคดีที่ 1 ออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยให้เหตุผลว่าผู้ฟ้องคดีที่ 1 มีพฤติการณ์ให้ความช่วยเหลือแก่นาย ส. ซึ่งถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติด้วยการรับโอนที่ดินจากนาย ส. และกล่าวอ้างว่าเงินของนาย ส. ที่ถูกยึดเป็นของกลาง เป็นเงินของผู้ฟ้องคดีที่ 1 และเมื่อพนักงานอัยการยื่นฟ้องผู้ฟ้องคดีที่ 1 จนกระทั่งศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้ที่ดินและเงินที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 กล่าวอ้างตกเป็นของแผ่นดิน ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ก็มิได้รายงานให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ทราบ การกระทำของผู้ฟ้องคดีที่ 1 จึงเป็นการประพฤติผิดจรรยาบรรณของผู้บริหารตามที่กฎหมายกำหนด
นอกจากนี้ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ได้ใช้คุณวุฒิปริญญาเอกที่ยังไม่ได้รับการรับรองจากทางราชการ มาสมัครเข้าเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ตำแหน่งอาจารย์ อันถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีที่ 1 เป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติไม่มีฐานะเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยมาตั้งแต่ต้น และต้องถือว่าผู้ฟ้องคดีที่ 1 ไม่มีคุณสมบัติด้านการสอนหรือมีประสบการณ์ด้านการบริหารมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีในมหาวิทยาลัย ผู้ฟ้องคดีที่ 1 จึงเป็นผู้มีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนในการดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ดังนั้นการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 มีมติถอดถอนผู้ฟ้องคดีที่ 1 ออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง และแต่งตั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เป็นผู้รักษาราชการแทนด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงเป็นมติที่ชอบด้วยกฎหมาย
ประเด็นที่สาม ผู้ฟ้องคดีที่ 1 กับพวกกระทำละเมิดจากการปฏิบัติหน้าที่ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 หรือไม่
ศาลปกครองกลางเห็นว่า เมื่อศาลได้มีคำสั่งกำหนดวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา โดยให้ทุเลาการบังคับตามมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ที่ถอดถอนผู้ฟ้องคดีที่ 1 ออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง และที่แต่งตั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เป็นผู้รักษาราชการแทน ไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ผู้ฟ้องคดีที่ 1 จึงยังคงมีสถานะทางกฎหมาย อำนาจ และหน้าที่ในตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง การที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งดังกล่าวออกประกาศให้ข้าราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย และลูกจ้างมหาวิทยาลัยทุกระดับปฏิบัติงานตามปกติภายใต้คำสั่งของอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง จึงเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมีกฎหมายรองรับในฐานะที่ยังคงดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง อันมีผลมาจากคำสั่งกำหนดวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาของศาลในขณะช่วงเวลาที่ใช้บังคับ
ผู้ฟ้องคดีที่ 1 กับพวกจึงมิได้ใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมิได้กระทำละเมิดต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 แต่อย่างใด ผู้ฟ้องคดีที่ 1 กับพวกจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดี ศาลปกครองกลางจึงมีคำพิพากษายกฟ้องผู้ฟ้องคดีที่ 1 และยกฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ลุ้นระทึก! ศาลปกครองสูงสุดอ่านคำสั่งมหากาพย์คดีก่อสร้างตึกสูงซอยร่วมฤดี
ศาลปกครองกลางนัดอ่านคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ 2306/2564
ศาลปกครองกลาง ยกฟ้อง 'กองทัพบก' ทำไอโอละเมิด 'สฤณี-ยิ่งชีพ-วิญญู'
ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษายกฟ้องคดีที่ น.ส.สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระ นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผอ.โครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาขน (ไอลอว์) และ นายวิญญู วงศ์สุรวัฒน์ พิธีกรชื่อดัง ร่วมกันฟ้องว่า กองทัพบก (ทบ.)
ระทึก! วันนี้ศาลปกครองกลางนัดอ่านคดีทหารทำไอโอ
ศาลปกครองกลางนัดอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ
ผู้บริโภคแพ้! ศาลฯ ยกฟ้อง คดีควบรวม ทรู-ดีแทค ชี้มติ กทสช. ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลปกครองกลางพิพากษา "ยกฟ้อง" คดีสภาองค์กรของผู้บริโภค ยื่นฟ้องให้เพิกถอนมติ กสทช. ให้ควบรวมกิจการ "ทรู-ดีแทค" ด้าน "สุภิญญา" ยอมรับความพ่ายแพ้ เดินหน้าเตรียมยื่นอุทธรณ์สู้ต่อ พร้อมจะเดินสายพบนักการเมือง ดันแก้กฎหมาย กสทช.ป้องกันการผูกขาดโทรคมนาคม
ระทึก! พรุ่งนี้ลุ้นคำตัดสินศาลปกครองสร้างบรรทัดฐานการบริจาคเลือด
ศาลปกครองกลางนัดอ่านคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำ


