
1 ส.ค. 2568 – กองบัญชาการกองทัพไทย บันทึกเหตุการณ์พิพาทบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ตามรายงานจากศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ได้สรุปเหตุการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ดังนี้
ตรวจพบการเสริมกำลังและสร้างความมั่นคงของฝ่ายกัมพูชาตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา พบการใช้อากาศยานไร้คนขับ (ไม่ทราบฝ่าย/ชนิด) บินตรวจการณ์บริเวณที่ตั้งของฝ่ายไทยในหลายพื้นที่ ได้แก่ ช่องอานม้า (อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี), ภูมะเขือ, สัตตะโสม, ปราสาทโดนตรวล, ภูผี (อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ), ช่องจอม (อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์) และช่องสายตะกู (อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์)
การดำเนินการต่อทหารกัมพูชา 20 นาย ที่ยอมจำนนในพื้นที่ช่องซำแต ถูกส่งดำเนินคดีตามกฎหมายในข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ส่วนผู้บาดเจ็บ 2 นาย ถูกส่งรักษาตัวที่ รพ.ค่ายวีรวัฒน์โยธิน จ.สุรินทร์
การวางกำลังควบคุมพื้นที่โดยรอบปราสาทตาควาย บริเวณลานหน้าปราสาทตาควาย ซึ่งเคยเป็นพื้นที่พักและท่องเที่ยวร่วมกันของทั้งสองประเทศ ปัจจุบันเชื่อว่าถูกวางทุ่นระเบิด PMN2 ซึ่งเคยสร้างความเสียหายแก่ทหารไทย การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา และการนำกำลังเข้าครอบครองโบราณสถาน ยังเป็นการละเมิดอนุสัญญาระหว่างประเทศเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน
กองทัพบก สรุปสถานการณ์พื้นที่รอบปราสาทตาควาย (31 ก.ค. 68)
พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก แถลงระบุว่า แม้ยังไม่สามารถวางกำลังที่ตัวปราสาทตาควายได้ แต่กองทัพไทยสามารถขยายการควบคุมพื้นที่โดยรอบเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายทางทหาร โดยมุ่งเน้นการยึดพื้นที่สูงซึ่งมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์มากกว่าตัวปราสาทที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่ำ
จุดยุทธศาสตร์หลักคือ “เนิน 350” ซึ่งฝ่ายตรงข้ามใช้เป็นฐานยิงโจมตี การเข้าถึงพื้นที่ดังกล่าวมีความสำคัญแต่ต้องดำเนินการภายใต้ข้อจำกัดด้านเวลา นอกจากนี้ การเคลื่อนกำลังเข้าพื้นที่ยังถูกขัดขวางด้วยสนามทุ่นระเบิด ส่งผลให้ ร.ต.เกียรติวงศ์ สถาวร ได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งกระทบต่อการรุกขั้นสุดท้าย ขณะนี้อยู่ในช่วงหยุดยิง จึงไม่มีการเคลื่อนไหวทางทหารเพิ่มเติม
สรุปสถานการณ์ผู้ได้รับผลกระทบ (ยอดสะสมถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2568)
1.พลเรือน เสียชีวิต: 17 ราย บาดเจ็บสาหัส: 12 ราย บาดเจ็บปานกลาง: 13 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย: 13 ราย รวมทั้งสิ้น 55 ราย
2.ทหาร เสียชีวิต: 15 นาย บาดเจ็บ: 196 นาย รวมทั้งสิ้น 211 นาย
สถานการณ์อพยพ มีการอพยพประชาชนจากพื้นที่เสี่ยงเข้าสู่ศูนย์พักพิงใน 7 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 141,115 คน ดังนี้:
อุบลราชธานี: 22,171 คน
ศรีสะเกษ: 48,621 คน
สุรินทร์: 54,471 คน
บุรีรัมย์: 15,159 คน
สระแก้ว: 481 คน
จันทบุรี: 212 คน
ภารกิจช่วยเหลือประชาชน โดยจิตอาสาพระราชทานใน 4 จังหวัดหลัก ได้แก่ รวมทั้งสิ้น
-จิตอาสา 904,129 นาย
-จิตอาสาพระราชทาน 2,660 นาย
-รด.จิตอาสา 230 นาย
อย่างไรก็ตาม กองทัพไทยขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนในการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข่าวสารอย่างรอบคอบก่อนเผยแพร่หรือส่งต่อ เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนหรือบิดเบือนกลายเป็นเครื่องมือในการบั่นทอนความมั่นคงของชาติ
ในสถานการณ์ปัจจุบัน มีความพยายามเผยแพร่ข้อมูลเท็จและหลักฐานปลอม เพื่อสร้างความเสียหายและโจมตีประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศจึงขอให้ทุกภาคส่วนร่วมกันใช้วิจารณญาณและยึดมั่นในข้อมูลหลักฐานที่เชื่อถือได้.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อาเซียนเมินกัมพูชา ไม่หนุนข้อเสนอหยุดยิง-ถกจีบีซี24ธค./สมรภูมิสระแก้วยังเดือด
ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษเหลว ไร้ข้อสรุปเป็นรูปธรรม “กัมพูชา”
เอาให้ราบ! ทหารช่างลุยรื้อถอนรูปปั้นเทพเจ้าฮินดู ทำลายสัญลักษณ์เขมรแอบสร้างบนแผ่นดินไทย
ทหารไทยลุยถอนรากถอนโคน! รื้อทำลายสิ่งปลูกสร้าง "รูปปั้นเทพเจ้า" ทหารเขมรสร้างไว้บนแผ่นดินไทย
กองทัพภาค 2 แจงเฮลิคอปเตอร์ลงจอดฉุกเฉินที่สุรินทร์ ทหารบาดเจ็บ 4 นาย
อากาศยานเฮลิคอปเตอร์แบบ ฮ.ท.212 ของกองทัพบก ได้ประสบเหตุจำเป็นต้องลงฉุกเฉิน ขณะปฏิบัติการร่อนลง ณ สนามบินสุรินทร์ภักดี จังหวัดสุรินทร์ ส่งผลให้กำลังพลประจำอากาศยาน
หลายหน่วยงาน รุดให้กำลังใจครอบครัว 'จ่าเหิน' ทหารไทยขาขาดรายที่ 8
ผู้ว่าฯบุรีรัมย์ มอบหมาย พมจ.ร่วมกับหลายหน่วยงาน เยี่ยมให้กำลังใจพร้อมช่วยเหลือซ่อมสร้างบ้านชำรุดให้กับครอบครัวจ่าเหิน ทหารกล้าเหยียบกับระเบิดขาขาดรายที่ 8 สุดเศร้าไม่กล้าบอกข่าวร้ายแม่ป่วยติดเตียงหวั่นช็อก
กต. แถลงการณ์ประชุมอาเซียนสมัยพิเศษ 'สีหศักดิ์' เปิดเหตุผล 5 ข้อ ไทยไม่หยุดยิง
กระทรวงการต่างประเทศ ออกแถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนสมัยพิเศษ (Special ASEAN Ministers’ Meeting: Special AMM) วันที่ 22 ธันวาคม 2568 กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย
จ.บุรีรัมย์ ให้ 'ผู้อพยพ' กลับบ้านได้บางส่วน เฉพาะพื้นที่ประเมินแล้วไม่เสี่ยง หลังเสียงปืนเบาลง
จากสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้เป็นเวลา 16 วัน ซึ่งถือว่าเป็นการปะทะที่ยาวกว่าครั้งที่ผ่านมาจนผู้อพยพเกิดความกังวลว่าจะสงบลงเมื่อไหร่

