นำเข้า 'แรงงานศรีลังกา' ไม่ตอบโจทย์! นักวิชาการ มธ. แนะทางออกทดแทนกัมพูชากลับภูมิลำเนา

นักวิชาการธรรมศาสตร์ จี้ “กระทรวงแรงงาน-ตม.” เร่งสำรวจตัวเลขแรงงานกัมพูชากลับภูมิลำเนา เพื่อให้ทราบขนาดของปัญหาที่แท้จริง หลังพบผู้ประกอบการภาค “ก่อสร้าง-ประมง-เก็บผลไม้” ได้รับผลกระทบจนกิจการต้องหยุดชะงักเพราะไม่มีคนทำงาน วิพากษ์​มาตรการของรัฐบาล-มติ ครม. ทั้ง “ผ่อนผัน-นำเข้าเพิ่ม” ไม่ตอบโจทย์ ระบุผู้ประการไม่ต้องการแรงงานศรีลังกา แนะรัฐร่วมสมทบผู้ประกอบการเพิ่มสวัสดิการ-ค่าแรง จ้างแรงงานไทยที่มีทักษะทำงานทดแทน

23 สิงหาคม 2568 - รศ. ดร.กิริยา กุลกลการ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า ผลกระทบจากการเดินทางกลับภูมิลำเนาของแรงงานกัมพูชา แม้ว่าจะยังไม่แสดงออกถึงความเดือดร้อนในวงกว้าง แต่ได้สร้างความรวดร้าวแบบกระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมบางประเภทที่พึ่งพิงแรงงานกัมพูชา อาทิ การรับเหมาก่อสร้าง อุตสาหกรรมเรือประมง และแรงงานเกษตรในสวนผลไม้ ฯลฯ ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีตัวเลขยืนยันว่าแรงงานกัมพูชาเดินทางกลับประเทศมากน้อยเพียงใด

ทั้งนี้ เชื่อว่าภาครัฐคงไม่ออกมาพูดในเรื่องนี้อย่างเป็นทางการด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ควรนำประเด็นความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจกับปัญหาความมั่นคงมารวมกัน ต้องแยกออกจากกันแล้วแก้ปัญหาไปพร้อมๆ กัน ไม่จำเป็นต้องให้เรื่องเศรษฐกิจนำความมั่นคง หรือให้ความมั่นคงนำเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบันรัฐบาลอาจกำลังให้ความสำคัญกับความมั่นคงเป็นตัวนำ

อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นคือมีเสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการหลายแห่งที่กำลังประสบปัญหาอย่างมาก เช่น ธุรกิจก่อสร้างที่ต้องหยุดชะงักทันทีเพราะไม่มีแรงงาน ส่งผลให้ต้องยืดระยะเวลาการส่งมอบโครงการให้กับผู้ว่าจ้างออกไป หรือธุรกิจประมงบางรายต้องจอดเรือทิ้งไว้เพราะไม่มีลูกเรือ รวมถึงในพื้นที่ภาคตะวันออกที่ขาดแคลนแรงงานเก็บผลไม้

“การแก้ไขปัญหาควรเริ่มต้นจากการให้กระทรวงแรงงานและสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ร่วมมือกันสำรวจและสรุปจำนวนแรงงานกัมพูชาที่เดินทางกลับประเทศ แล้วนำตัวเลขออกมาแถลงหรือเปิดเผยให้เห็นถึงผลกระทบอย่างชัดเจน เพื่อให้สังคมรับทราบขนาดของปัญหาที่แท้จริงและช่วยกันคิดหาทางออก ซึ่งจากข้อมูลจากการรายงานขององค์กรพัฒนาเอกชน พบว่าแรงงานกัมพูชาเดินทางกลับประเทศราว 3 – 4 แสนคน โดยคิดเป็น 90% ของแรงงานทั้งหมด” รศ. ดร.กิริยา กล่าว

นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวว่า แนวทางการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ 2 มาตรการ ได้แก่ 1. การผ่อนผันอนุโลมให้แรงงานต่างด้าวที่ยังทำงานอยู่ในไทยอย่างผิดกฎหมาย หรือมีสถานะไม่ถูกต้องให้สามารถยังทำงานต่อไปได้ 2. เห็นชอบให้นำเข้าแรงงานต่างชาติอื่นๆ ผ่านระบบบันทึกความเข้าใจ (MOU) ซึ่งในระยะแรกจะเริ่มต้นนำเข้าแรงงานสัญชาติศรีลังกา ส่วนตัวมองว่ายังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการทดแทนแรงงานกัมพูชาได้ อาจไม่ทันท่วงที หรือไม่ตอบสนองต่อความต้องการแรงงานอย่างเร่งด่วนของนายจ้างได้ในเวลานี้

“มาตรการผ่อนผันฯ คงไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาได้ เพราะแรงงานที่ได้รับการผ่อนผันเหล่านั้นส่วนใหญ่อยู่นอกระบบ และเขามีงานทำ ไม่ได้อยู่ในสถานะว่างงาน ซึ่งเขาก็ยังคงทำงานของเขาต่อไป และไม่ได้ถูกจูงใจให้เข้ามาในระบบ ส่วนการนำเข้าแรงงานจากต่างชาติ เช่น ศรีลังกา ก็อาจไม่ทันต่อความต้องการ เพราะการนำแรงงานสัญชาติใหม่ๆ จำเป็นจะต้องใช้เวลาในการเตรียมความพร้อมและทำความเข้าใจร่วมกันทั้งฝ่ายแรงงานและนายจ้าง เช่น แรงงานจะต้องศึกษาข้อกฎหมาย ภาษา วัฒนธรรมการเป็นอยู่ของคนไทย และต้องให้เวลาสังคมไทยในการเปิดใจยอมรับผู้คนหน้าใหม่ๆ ที่จะเข้ามาอาศัยอยู่ร่วมกัน” รศ. ดร.กิริยา กล่าว

รศ. ดร.กิริยา กล่าวอีกว่า ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลได้สำรวจความคิดเห็นของนายจ้างก่อนมีนโยบายนำเข้าแรงงานศรีลังกาหรือไม่ เพราะในการสำรวจความคิดเห็นกันเองของกลุ่มนายจ้างต่างลงความเห็นตรงกันว่าไม่ต้องการแรงงานจากศรีลังกา เนื่องจากแรงงานศรีลังกามีความถนัดในงานภาคบริการ แต่ที่ขาดแคลนเป็นภาคก่อสร้าง-ประมง เก็บผลไม้ จึงไม่มั่นใจว่าเมื่อนำเข้ามาแล้วใครจะจ้างแรงงานเหล่านั้นทำงาน

สำหรับการแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วน นอกจากการเปิดเผยจำนวนตัวเลขอย่างเป็นทางการแล้วคือการนำแรงงานไทยที่มีทักษะและศักยภาพมาทดแทนแรงงานกัมพูชาได้ เพียงแต่ต้องให้ค่าตอบแทนและสวัสดิการที่จูงใจมากพอ ดังที่เกิดขึ้นในสวนลำไยแห่งหนึ่งใน จ.จันทบุรี ซึ่งเปิดรับแรงงานคนไทยกว่า 3 หมื่นอัตรา เสนอรายได้วันละ 700 – 1,300 บาท มีที่พักฟรีและทำสัญญา 9 เดือนเต็มซึ่งทำให้แรงงานมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนสูงกว่า 2 หมื่น – 4 หมื่นบาท ซึ่งส่วนตัวขอเสนอให้รัฐบาลร่วมกันสมทบกับผู้ประกอบการเพื่อจัดสรรรายได้และสวัสดิการให้แรงงาน เพื่อเยียวยาสถานการณ์ปัญหาในเบื้องต้น

นอกจากนี้ คือการโอบรับแรงงานกัมพูชาที่เดินทางกลับประเทศไปแล้ว และมีความพยายามในการลักลอบกลับเข้ามาอีกครั้งเนื่องจากไม่สามารถหางานและดำรงชีพอยู่ในประเทศกัมพูชาได้ กล่าวคือแทนที่จะให้เขาลักลอบก็ควรจะเปลี่ยนเป็นเปิดให้เขาเข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมาด้วยสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอาจทำให้ไทยกังวลเรื่องความมั่นคง แต่การที่ปล่อยให้เขาต้องลักลอบเข้ามามันยิ่งทำให้เกิดความไม่มั่นคงเข้าไปใหญ่ เราควรจะนำเขาเข้าระบบอย่างถูกต้องเพื่อที่เราจะได้รู้ตัวตน ส่วนตัวเชื่อว่าคนกัมพูชาจำนวนมากที่กลับไปแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องกลับมาในวันหนึ่งเมื่อสถานการณ์ความขัดแย้งเริ่มคลี่คลาย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“สปส.” ห่วงแรงงานพลาดสิทธิคุ้มครอง “กองทุนเงินทดแทน”ภัยที่ทำงาน เตือนนายจ้างป้องสิทธิรักษาพยาบาลลูกจ้างหลังเกิดภัยภายใน 15วัน

นางสาวกาญจนา พูลแก้ว เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวว่า ในทุกสถานประกอบการอาจซ่อนความเสี่ยงที่ไม่มีใครคาดคิดไว้เสมอและเมื่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการช่วยชีวิตและการใช้สิทธิอย่างถูกต้องและทันเวลา

ราชกิจจาฯ ประกาศปรับฐานค่าจ้างคำนวณเงินสมทบประกันสังคม ม.33 เริ่ม 1 ม.ค. 2569

กฎกระทรวงใหม่กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ-ขั้นสูง ใช้เป็นฐานคำนวณเงินสมทบผู้ประกันตนมาตรา 33 โดยปรับเพดานสูงสุดเป็นลำดับ จาก 17,500 บาท เพิ่มเป็น 23,000 บาทในระยะถัดไป มีผลตั้งแต่ต้นปี 2569

นักวิชาการ มธ. มองเลือกตั้งหน้า ‘พรรคประชาชน’ โดดเดี่ยว อำนาจต่อรองไหลกลับเพื่อไทย

นักวิชาการธรรมศาสตร์วิเคราะห์ผลจากการยุบสภา ชี้สมการการเมืองหลังเลือกตั้งมีแนวโน้มทำให้พรรคประชาชนโดดเดี่ยว สูญเสียอำนาจต่อรองในการจัดตั้งรัฐบาล ขณะที่บทบาทต่อรองมีโอกาสไหลกลับไปอยู่ที่พรรคเพื่อไทย ท่ามกลางการแข่งขันของการเมือง 3 ขั้ว

ยังไม่ใช่เวลาเจรจาสันติภาพ นักวิชาการ มธ. ชี้ต้องปกป้องอธิปไตยก่อน แนะวิธีสื่อสารเชิงรุกสู้กัมพูชา

นักวิชาการธรรมศาสตร์ ระบุขณะนี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการพูดคุยเจรจาสันติภาพกับกัมพูชา แต่ปลายทางคือต้องเจรจาบนโต๊ะ ชี้ไทยต้องปกป้องอธิปไตยไปจนสถานการณ์กลับสู่ปกติก่อนแล้ว

นักวิชาการ มธ. หนุนเพิ่มสมทบประกันสังคม แนะรัฐลดภาษีช่วยผู้ประกอบการ

นักวิชาการธรรมศาสตร์ เห็นด้วยปรับเพิ่มเงินสมทบประกันสังคม ระบุต้องแยกส่วนระหว่าง “ประสิทธิภาพในการบริหาร-การเพิ่มเงินสมทบ” เพราะสองเรื่องพัฒนาไปพร้อมกัน

นักวิชาการ มธ. คนแรกของอาเซียน คว้ารางวัล People of ACM

นักวิชาการ มธ. คนแรกของไทยและอาเซียน ได้รับเลือกเป็น People of ACM จากบทบาทพัฒนาทักษะซูเปอร์คอมพิวเตอร์ให้ประชาชนภาคเหนือ เชื่อมเทคโนโลยีขั้นสูงสู่การสร้างนวัตกรรมแก้ปัญหาพื้นที่