นักวิชาการ มธ. เชื่อ ‘จีดีพี Q4’ 1.1% ไม่เกินจริง หนุนรัฐปูพรมถก FTA ดันส่งออก  

นักวิชาการธรรมศาสตร์ เชื่อมีความเป็นไปได้ที่จีดีพีไตรมาส 4 จะอยู่ที่ 1.1% ชี้แม้ไม่บรรลุผลเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ภายในสิ้นปีก็ไม่ส่งผลกระทบเท่าใดนัก ระบุการทำFTA กับนานาประเทศ ช่วยลดความกดดันพึ่งพิงตลาดมะกันได้จริง หนุนพาณิชย์เดินหน้าเต็มกำลัง แนะฝ่ายการเมืองให้ความสำคัญการพัฒนาระยะกลาง-ระยะยาว ลงทุนในโครงสร้างเทคโนโลยีและเสริมศักยภาพแรงงานให้มากขึ้น

21 พฤศจิกายน 2568 - รศ. ดร.พีระ เจริญพร คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.)เปิดเผยว่า มีความเป็นไปได้ที่ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสที่ 4 จะสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (รมว.คลัง) ที่ระบุว่าจะอยู่ที่ 1.1% สูงกว่าตัวเลขของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งคาดการณ์ไว้เพียง 0.6% นั่นเพราะกระทรวงการคลังอาจจะมีการนำตัวแปรด้านนโยบายอื่นๆ เช่น โอกาสจากการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี(FTA) ของกระทรวงพาณิชย์ หรือมาตรการการจัดการหนี้ครัวเรือนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อันมีผลต่อการสร้างความเชื่อมั่นและความกล้าในการลงทุน มาเป็นฐานในการคำนวณมากกว่าเพียงแค่ประเมินการใช้จ่ายของภาครัฐ และส่วนตัวเชื่อว่า แม้ประเทศไทยจะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเจรจาทางการค้ากับสหรัฐอเมริกาได้ทันภายในช่วงสิ้นปี ก็ยังจะไม่กระทบกับจีดีพีไตรมาสที่ 4เท่าใดนัก 

ทั้งนี้ เนื่องจากการเจรจาซื้อขายระหว่างประเทศจะมีการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ฉะนั้นถึงแม้ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะมีการเปลี่ยนแปลงกรอบอัตราภาษีก็อาจจะไม่ส่งผลกระทบต่อมูลค่าทางการค้ามาก แตกต่างกับประเด็นความมั่นคงชายแดนไทย-กัมพูชา เพราะหากรัฐบาลไม่สามารถเจรจาให้เกิดความเป็นธรรมกับประเทศไทยได้ในระยะยาว นักลงทุนต่างชาติจะไม่กล้าเข้ามาลงทุนในประเทศที่ไม่สามารถสร้างแต้มต่อในกระบวนการเจรจาได้ 

นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปว่าแม้ว่าจีดีพีในระยะสั้นจะยังไม่มีปัจจัยบวกแต่ก็ยังสามารถกระตุ้นได้ด้วยมาตรการต่างๆ อาทิ การใช้จ่ายภาครัฐที่เป็นไปเพื่อการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การลดภาระหนี้ครัวเรือนเพื่อกระตุ้นการบริโภค การจูงใจโดยให้บริษัทที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากการส่งเสริมการลงทุน(BOI) มีโอกาสลงทุนได้เร็วขึ้นผ่านการให้ Fast Track ต่างๆ ตลอดจนการที่รัฐบาลช่วยลงทุนนำในเมกะโปรเจกต์ต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้เอกชนไทยกล้าลงทุนมากขึ้น

ในระยะกลาง สิ่งที่ควรดำเนินการต่อคือการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน การแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ ที่ทำให้ต้นทุนการดำเนินงานของไทยสูงกว่าประเทศอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ที่เวียดนามมีการปรับปรุงกฎหมายต่างๆ ที่ไม่มีประสิทธิภาพออกไปกว่า 800 ฉบับแล้วและเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ภาครัฐ ภาคเอกชน ควรจะต้องลงในทุนในเชิงโครงสร้าง เช่น มีการลงทุนทางด้านเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ และต้องลงทุนในคน เช่น ต้องเสริมสร้างทักษะแรงงานเพื่อนำมาชดเชยกับจำนวนแรงงานที่ลดน้อยลง จึงอยากจะฝากพรรคการเมืองต่างๆ ที่จะเข้าสู่การเลือกที่ใกล้จะถึงได้ให้ความสำคัญกับการหาเสียงในสิ่งเหล่านี้มากขึ้น แทนที่เราจะหาเสียงด้วยความกลัว เราควรหาเสียงด้วยความฝันถึงทิศทางการพัฒนาประเทศในอนาคต รศ. ดร.พีระ กล่าว 

นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปด้วยว่า ทุกฝ่ายควรจะเรียนรู้บทเรียนจากการมีรัฐมนตรีคนนอกที่ไม่ได้เป็นนักการเมืองอาชีพซึ่งมีศักยภาพ มีความความสามารถตรงตามภารกิจความรับผิดชอบของตนเอง จะเห็นได้ว่าการขับเคลื่อนหลายๆ นโยบายของรัฐมนตรีคนนอกจะไม่ได้ทำเพื่อมุ่งหวังคะแนนนิยมทางการเมือง แต่มุ่งหวังที่จะแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดอย่างยั่งยืน ขณะนี้ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นภาคประสังคม สื่อสารมวลชน ภาคการศึกษาพูดตรงกันว่าการบริหารประเทศนับจากนี้ไม่สามารถมองเพียงแค่ผลประโยชน์ระยะสั้นได้อีกต่อไป แต่จะต้องมองทิศทางการพัฒนาในระยะกลาง ระยะยาวควบคู่ไปด้วยกัน

รศ. ดร.พีระ กล่าวอีกว่า การเดินหน้าปิดดีลข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-แคนาดา และไทย-เกาหลีใต้ รวมถึงประเทศอื่นๆ ของนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์(รมว.พาณิชย์) จะเป็นส่วนช่วยที่สำคัญและสามารถลดความกดดันทางการค้ากับสหรัฐฯ ได้เป็นอย่างมาก ตัวอย่างที่ชัดเจนคืออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนามและมาเลเซียที่ดีกว่าไทย ก็เป็นผลมาจากการที่สองประเทศนี้มีจำนวน FTA ที่มากกว่าไทย จึงมีอัตราการส่งออกที่สูงกว่าไทย จึงขอสนับสนุนให้กระทรวงพาณิชย์เดินหน้าเจรจา FTA กับประเทศต่างๆ อย่างเต็มที่

ที่ผ่านมาไทยมีรัฐบาลที่ไม่ได้มาตามกระบวนการทางประชาธิปไตย จึงส่งผลให้หลายประเทศไม่ต้องการที่จะทำการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีด้วย แต่ปัจจุบันหลายประเทศกำลังเดือดร้อนจากการถูกกีดกันทางการค้าโดยสหรัฐฯ จึงเชื่อว่าหลายประเทศเริ่มเปิดใจและอยากทำข้อตกลง FTA ร่วมกัน ฉะนั้นท่ามกลางวิกฤติที่เกิดขึ้นอาจเป็นโอกาสของไทยในการเร่งดำเนินการเจรจา FTA กับประเทศต่างๆรศ. ดร.พีระ กล่าว

รศ. ดร.พีระ กล่าวว่า แน่นอนว่าปัจจัยทางการเมืองย่อมส่งผลโดยตรงกับตัวเลขทางเศรษฐกิจ ดังนั้นหากการเมืองในรัฐบาลชุดต่อไปมีเสถียรภาพมากขึ้น ก็จะสามารถสร้างบรรยากาศความเชื่อมั่นในการลงทุนได้ และจะทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมดำเนินไปในทิศทางที่ดี และเชื่อว่ารัฐบาลชุดถัดไปก็จะดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นไม่ต่างไปจากสิ่งที่รัฐบาลในขณะนี้ การดำเนินการ อาทิ มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ มาตรการจัดการแก้ปัญหาเรื่องหนี้เสียผ่านการตั้งบริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์ การกระตุ้นให้คนที่มาขอรับสิทธิประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อให้เกิดการลงทุนจริงๆ แต่ก็ควรจะทำให้เงื่อนไขที่ช่วยพัฒนาประเทศที่สูงขึ้นและมองผลกระทบในระยะยาวมากขึ้น

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นักวิชาการ มธ. คนแรกของอาเซียน คว้ารางวัล People of ACM

นักวิชาการ มธ. คนแรกของไทยและอาเซียน ได้รับเลือกเป็น People of ACM จากบทบาทพัฒนาทักษะซูเปอร์คอมพิวเตอร์ให้ประชาชนภาคเหนือ เชื่อมเทคโนโลยีขั้นสูงสู่การสร้างนวัตกรรมแก้ปัญหาพื้นที่

รัฐบาลอัดฉีดแพ็กเกจใหญ่ เพิ่มสภาพคล่อง SME มาตรการสินเชื่อ-คืนภาษี วงเงิน 3.27 แสนล้าน

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 มีมติเห็นชอบมาตรการ “Quick Big Win เพื่อ SMEs ไทย

นักวิชาการ มธ. ชูแผน 3 ระยะ แก้วิกฤติซากขยะหลังน้ำลดหาดใหญ่

นักวิชาการธรรมศาสตร์ เสนอแผน 3 ระยะแก้วิกฤติซากขยะ “หาดใหญ่” หลังน้ำลด ระยะเร่งด่วน “เทศบาล-อบต.” ต้องกำหนดจุดทิ้งขยะใกล้ชุมชน

คาดส่งออก‘กุ้งไทย’ปี69 ฟื้นรับอานิสงค์ภาษีทรัมป์ทุบคู่แข่ง

ผู้เลี้ยงกุ้งไทยรับอานิสงค์ภาษีทรัมป์ทุบคู่แข่งอินเดียอ่วม 60% คาดส่งออกปี 69 ฟื้น วอนรัฐเร่งแก้ปัญหากุ้งทั้งระบบ เพิ่มผลผลิตกุ้งคุณภาพ 4 แสนตัน พร้อมแนะผู้เลี้ยงมุ่งสู่มาตรฐานกุ้งยั่งยืน ASC