20 มิ.ย.2565 - ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี โสพต์ข้อความในเฟซบุ๊กวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า วันนี้ผมขอมาแชร์ 5 ข้อว่า #ประชาธิปไตยตายได้อย่างไร #HowDemocraciesDie
#ข้อที่1 หลังจากมีสงครามกลางเมืองระหว่าง ค.ศ.1861-1865 ที่พี่น้องฆ่ากันเองตายไปมากกว่า 600,000 คน ซึ่งฝ่ายเหนือที่นำโดยประธานาธิบดี Lincoln ได้รับชัยชนะสามารถประกาศเลิกการมีทาสได้โดย 11 รัฐทางภาคใต้ต้องยอมแพ้และต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญที่แก้ไขใหม่ซึ่งห้ามการมีทาส หลังจากนั้นสิทธิในการเลือกตั้งสำหรับคนผิวดำก็เกิดขึ้น และตามมาด้วยสิทธิการเลือกตั้งของสตรีในปี ค.ศ. 1920 และสิทธิการเลือกตั้งของชาวพื้นเมืองอินเดียแดงในปี ค.ศ.1924
รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐใหม่ก็มีความเข้มแข็งมากขึ้น แม้ว่าความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลิกทาส มักจะถูกละเมิดตลอดเวลาในรัฐทางใต้ แต่ก็เป็นช่วงที่ถือว่ามีความสงบทางการเมืองภายในประเทศพอสมควร ทำให้สหรัฐอเมริกาสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมจนเป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งในทางเศรษฐกิจ #การพัฒนาหลักการต่างๆเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยก็ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน เรียกช่วงเวลาดังกล่าวว่าเป็นยุคแห่งการฟื้นฟูบูรณะประเทศหลังสงครามกลางเมือง ( Reconstruction era )
ภายใต้หลักการใหม่ที่ทั้งประเทศเห็นพ้องต้องกันให้ยึดถือเป็นเสมือนราวกันตก ( guard rail ) ทำให้ประชาธิปไตยของสหรัฐฯเจริญ มีความมั่นคง มีเสรีภาพและมีความเสมอภาคมากขึ้นติดต่อกันมาจนสามารถนำประเทศผ่านสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ.1914-1918) และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ.1941-1945) สหรัฐก็กลายเป็นผู้นำโลกเสรี ยิ่งหลังจากสหภาพโซเวียตรัสเซียได้สลายตัวเมื่อ ค.ศ.1991 สหรัฐก็กลายเป็นมหาอำนาจของโลกเพียงผู้เดียว
แต่เพราะการแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายระหว่าง 2 พรรคการเมืองใหญ่คือพรรค Republican และพรรค Democrat ได้ทำให้ทั้งสองฝ่ายค่อยๆทิ้ง #หลักการที่เป็นราวกันตก จนนำมาซึ่งความเสื่อมของระบอบประชาธิปไตย อันเป็นเหตุให้ศาสตราจารย์ด้านการเมืองของมหาวิทยาลัย Harvard 2 ท่านได้ทำวิจัยเรื่องความเสื่อมลงของระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก รวมทั้งของประเทศสหรัฐฯเองด้วย ( หนังสือดังกล่าว ชื่อว่า “How Democracies Die” เขียนโดย ศาสตราจารย์ STEVEN LEVITSKY และศาสตราจารย์ DANIEL ZIBLATT )
ซึ่งปกติผมเป็นคนเห็นจุดอ่อนของอาจารย์ฝรั่งที่บางที่ผมว่าพวกเขามิได้เข้าใจอะไรลึกซึ้งเกี่ยวกับประเทศเล็กๆเช่นประเทศไทย จึงมักนำทฤษฎีของพวกเขามาสรุปผิดๆเกี่ยวกับประเทศไทยและประเทศด้อยพัฒนาอื่นๆ หรือบางที่พวกเขาก็แกล้งทำเป็นลืมความไม่ดีของประเทศของตนที่เป็นเหตุแห่งความเสื่อมพังทลายของหลายๆประเทศทั่วโลก ซึ่งผมได้ปะทะคารมกับพวกเขามามากแล้วทั้งที่มหาวิทยาลัย Hawaii มหาวิทยาลัย Harvard แห่งสหรัฐฯ และมหาวิทยาลัย Cambridge กับมหาวิทยาลัยแห่ง London (LSE) แห่งประเทศอังกฤษ แต่ทัศนะของอาจารย์อเมริกันทั้งสองที่เขียนเกี่ยวกับประเทศสหรัฐฯของตนเองนั้น ผมว่าเราควรฟังเพราะมันน่าเชื่อถือ
#ข้อที่2 จากหนังสือดังกล่าวข้างต้นได้ชี้ให้เห็นว่า ตลอดเวลาหลังจากสงครามกลางเมืองของสหรัฐฯ นักการเมืองและประชาชนได้ยึดถือหลักการใหม่ที่ถือว่ามันเป็นเสมือนราวกันตกของระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐมาโดยตลอด
ราวกันตกที่ว่านั้นมีอยู่ 2 ข้อ ซึ่งมีความสำเร็จเสมือนเป็นกฎข้อหนึ่งในรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ แม้จะมิได้ระบุเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรก็ตาม ราวกันตกดังกล่าวคือ
2.1) หลักการที่ว่า คู่แข่งทางการเมืองเป็นเพียงคู่แข่ง (Political rival) มิใช่เป็นศัตรู (Enemy) หลังเลือกตั้งทุกระดับผ่านไป ทุกคนต้องไม่โกรธกัน สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับผู้ที่มีความเห็นต่างกันในทางการเมือง สามารถร่วมมือกันเพื่อขับเคลื่อนประเทศ ไม่พยายามขัดขวางหรือสร้างความลำบากในการบริหารประเทศของฝ่ายที่ชนะการเลือกตั้งหลักการข้อนี้เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “the mutual toleration”
2.2) หลักการอีกข้อหนึ่งก็คือหลักการว่าด้วยการควบคุมอารมณ์ของตนในการใช้สิทธิทางการเมือง ไม่มีการกระทำที่เป็นการอาฆาตมาดร้ายเพราะอิจฉาริษยา คือไม่มีการกระทำที่เป็นลักษณะที่เกิดจากความโกรธและเกลียดคู่แข่งในทางการเมือง ( ในทางพระพุทธศาสนา เรียกว่า ต้องไม่มีการกระทำที่เป็น “ทุจริต 3” คือกายทุจริตโดยการทำร้ายกัน กลั่นแกล้งกัน วาจาทุจริต คือการทำร้ายกันทางวาจา และ มโนทุจริต คือการผูกใจอาฆาตมาดร้าย คอยสาปแช่งคู่แข่งทางการเมือง....ไตรรงค์) ซึ่งหลักการข้อนี้ ฝรั่งเขาเรียกว่า หลักการว่าด้วยความอดทนอดกลั้นในทางการเมือง (the political forbearance)
#ข้อที่3 เพราะกิเลสตัณหาของมนุษย์ที่มีแต่ความโลภ โกรธ หลง เข้าครอบงำจิตใจของนักการเมืองและกองเชียร์ในยุคหลังๆ การยึดถือหลักการทั้งสองข้อได้หย่อนยานลงจนเกิดสิ่งที่ไม่เคยเกิดมาในปีค.ศ. 2016 โดยพรรค Republican (เหมือนพรรค Democrat)ซึ่งเคยยึดถือมาตลอดว่าผู้ที่จะสมัครเป็นประธานาธิบดีในนามของพรรคนั้น จะต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์ทั้งทางการเมืองและทางบริหารราชการแผ่นดินในระดับที่เป็นประจักษ์และยอมรับได้ของประชาชนนอกเหนือจากการไม่มีประวัติด่างพร้อยทางจริยธรรม แต่ในปี ค.ศ.2016 พรรค Republican ได้เลิกยึดถือประเพณีดังกล่าว ปล่อยให้นักปลุกระดมมวลชน (ที่เรียกกันว่าพวก Demagogues) ที่ไร้ความรู้และประสบการณ์ทั้งในทางการเมืองและการบริหารประเทศ ได้รับเลือกให้เป็นผู้สมัครประธานาธิบดีในนามของพรรค Republican ซึ่งก็คือ Donald Trump เมื่อได้เป็นประธานาธิบดีจึงได้สร้างความเสียหายมากมายทั้งภายในประเทศและความตกต่ำของภาพลักษณ์ในสายตาของชาวโลกที่มีต่อสหรัฐอเมริกา
ปัญหาที่ Trump ได้สร้างขึ้นอันก่อให้เกิดความไม่มั่นคงภายในประเทศ ก็คือการสร้างและส่งเสริม #ลัทธิรังเกียจผิว โดยได้แพร่เชื้อที่ว่า ผิวขาวเท่านั้นที่เป็นเจ้าของประเทศสหรัฐ (White Supremacy)จึงทำให้เกิดการทำร้ายร่างกายคนผิวสีที่ไม่ใช่สีขาว ปีหนึ่งๆมีการฆ่ากันเพราะเหตุนี้มากกว่า 1,000 คน แม้ว่าการเลือกตั้งครั้งหลังสุด Trump จะประสบความพ่ายแพ้แก่ Joe Biden แห่งพรรค Democrat แต่เชื้อโรคลัทธิรังเกียจผิวก็ยังแพร่ขยายออกไป มีแต่จะแรงขึ้น เพราะเชื้อเดิมมันก็มีของมันอยู่แล้ว Trump เพียงราดน้ำมันเข้าใส่กองเพลิงให้ลุกโชนมากขึ้นเท่านั้น
#ข้อที่4 ลัทธิรังเกียจผิวได้ทำให้หลักการที่เป็นรั้วกันตกพังทลายลง กล่าวคือนักการเมืองและกองเชียร์ทั้ง 2 ขั้ว คือขั้วที่รังเกียจผิวกับขั้วที่ไม่รังเกียจผิวถือว่าเป็นศัตรูกัน ไม่สามารถอยู่ร่วมกันโดยสันติกับผู้ที่มีความเห็นต่างได้ ความอดทนอดกลั่นที่ใช้ในการควบคุมอารมณ์มิให้ก่อความรุนแรงก็พังทลายลงเช่นเดียวกัน เพราะถ้าไม่ยึดมั่นรั้วกันตกอันที่หนึ่ง รั้วกันตกอันที่สองก็เกิดขึ้นไม่ได้ (คำอธิบายในเรื่องนี้อยู่หน้า 150-154 ของหนังสือที่อ้างถึง) สังเกตุเห็นได้ในครั้งแรกที่ Trump พ่ายแพ้แก่ Biden Trumpได้เรียกร้องให้ผู้สนับสนุนตนอย่ายอมรับผลการเลือกตั้ง ให้ใช้กำลังขัดขวางมิให้มีการประกาศแต่งตั้ง Joe Biden เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ จึงเกิดฝูงชนเข้าบุกทำลายอาคารรัฐสภา ทำร้ายเจ้าหน้าที่ และตำรวจของรัฐสภาบาดเจ็บล้มตายไปหลายคน ถูกจับติดคุกติดตารางกันไปหลายคน เป็นต้น
หนังสือเล่มนี้ได้ทำนายไว้ว่า เมื่อหลักการทั้งสองที่เป็นเสมือนราวกันตกได้พังทลายลง ระบบอนาธิปไตย (anarchy) ก็จะเข้ามาแทนที่ความเป็นประชาธิปไตยในสหรัฐอเมริกา ต่อไปในอนาคตสหรัฐอาจจะไม่พบกับความสงบอีกต่อไป
เพราะถ้าฝ่ายนิยมรังเกียจผิวมีชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไป จะมีการรังแกคนผิวสีโดยวิธีต่างๆ เช่น จะมีการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ เพื่อลดอิทธิพลของพวกผิวสีลง จะมีการใช้กำลังทั้งทหารและตำรวจกับคนผิวสีรุนแรงมากขึ้น จะมีการออกมาตรการเนรเทศคนผิวสี สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาค เป็นเรื่องที่ไม่ต้องพูดถึงกันอีกแล้ว รัฐธรรมนูณจะถูกละเมิดเพราะทั้งศาลและองค์กรอิสระจะถูกอำนาจเผด็จการรัฐสภาเข้าแทรกแซงจนหมดสิ้น
แต่ถ้าพวกนิยมลัทธิรังเกียจผิวเกิดพ่ายแพ้การเลือกตั้ง พวกเขาก็จะก่อกวนสร้างความรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้เกิดความวุ่นวายเพื่อขัดขวางฝ่ายที่ชนะให้บริหารประเทศไม่ได้หรือบริหารได้ด้วยความลำบาก เพราะพวกเขาถือว่าผู้ที่ชนะการเลือกตั้งเป็นศัตรู แม้ว่าเป็นรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายก็ตาม
ทั้งสองอย่างมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนยกเว้นเสียแต่ว่า พระเจ้าจะดลบันดาลให้นักการเมืองและกองเชียร์เกิดจิตสำนึกว่า สิ่งที่พวกตนคิด พูด และทำนั้น เป็นภัยต่ออนาคตของประเทศอย่างแท้จริง แล้วทุกฝ่ายก็กลับยึดถือหลักการที่เป็นราวกันตกกันใหม่ โดยปล่อยให้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.2016 กลายเป็นบทเรียนแก่ชนรุ่นหลังว่าอย่าทำผิดเช่นนั้นอีก ประเทศสหรัฐและประชาธิปไตยจึงจะปลอดภัยในอนาคต
#ข้อที่5 เมืองไทยเราก็ได้เกิดการเมือง 2 ขั้วที่นับวันจะถือว่าเป็นศัตรูกันมากขึ้น ระหว่างขั้วที่ชังชาติ ชังจารีตประเพณี บ้าวัฒนธรรมตะวันตก และอยากให้ประเทศปกครองในระบบประธานาธิบดี กับขั้วที่ยังรักชาติ ศาสน์กษัตริย์ ซึ่งยังต้องการรักษาความเป็นไทยภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ถ้าทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่าอยู่ร่วมกันโดยสันติกับผู้เห็นต่างไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นศัตรูกัน ความอดกลั้นที่จะไม่ใช้ทุจริต 3 ทำร้ายกันและกันก็จะมีน้อยลง ประเทศและประชาธิปไตยก็จะฉิบหายไปพร้อมๆกับสหรัฐอเมริกา อย่างแน่นอน
ข้อ 5 นี้เป็นการสรุปของผมเองครับไม่ใช่บทสรุปของหนังสือ “How Democracies Die” หรอกครับ ผมเป็นคนรับผิดชอบข้อสรุปนี้เพียงคนเดียวครับ
ผมขอเรียนว่าความเห็นที่ลงในเฟซบุ๊ก เป็น #ความเห็นส่วนตัวไม่เกี่ยวกับพรรคปชปแต่อย่างใด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อดีตบิ๊กข่าวกรอง บอกไทยกำลังเป็นประเทศเสรี แต่ไม่ใช่เสรีประชาธิปไตยนะ
อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Nantiwat Samart หัวข้อ 'ไทยเจริญฮวบๆ'
ฉะรัฐบาลที่เรียกตัวเองว่าประชาธิปไตย แต่เลือกปฏิบัติระหว่างคนจนกับคนรวย
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ว่า "รัฐบาลที่เรียกตัวเองว่า“ประชาธิปไตย”มีการเลือกปฏิบัติระหว่างคน
'ดร.ไตรรงค์' ขอบคุณ 'พล.อ.ประยุทธ์' ส่งดอกไม้เป็นขวัญกำลังใจหลังป่วยเข้ารพ.
นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) โพสต์ภาพแจกันดอกไม้พร้อมระบุข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ไม่นึกไม่ฝันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา ซึ่งเป็นคนที่ผมรักและนับถือ เพราะท่านเป็นคนดี ไม่มีเรื่องฉ้อราษฎร์บังหลวง
‘นักเขียนซีไรต์’ งง! ผู้ใหญ่หัวก้าวหน้าประชาธิปไตย โกหกซ้ำซากยังมีคนเชื่อ
นักเขียนรางวัลซีไรต์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กระบุว่า "เด็กเลี้ยงแกะ" ในนิทานอีสปแค่โกหกครั้งที่2 ผู้คนเขาก็ไม่เชื่อถือแล้ว
นายกฯเศรษฐา มอบคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ 2567 อยากให้ร่วมกันสร้างประชาธิปไตย
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง โพสต์เฟซบุ๊กว่า ได้มอบของขวัญวันเด็กประจำปี 2567 “มองโลกกว้าง คิดสร้างสรรค์ เคารพความแตกต่าง ร่วมกันสร้างประชาธิปไตย”
'พุทธะอิสระ' อบรมชุดใหญ่! ข้องใจ 'ทักษิณ' นอนนอกคุก 100 วัน
พุทธะอิสระ อดีตเจัาอาวาสวัดอ้อน้อย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ "ถามมา ตอบไป" โดยระบุว่า มีคำถามมาว่า การที่นายกล่าวพาดพิงถึงคุณทักษิณที่อยู่โรงพยาบาลตำรวจ