พปชร.ปราศรัยเวทีสุดท้าย 'ลุงป้อม' ปลุกกาเบอร์ 37 ประเทศชาติไม่วุ่นวาย


12 พ.ค. 2566 - ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดง พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้าย นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. กรรมการบริหารพรรค แกนนำพรรค ผู้สมัคร ส.ส.กทม. และผู้สมัคร ส.ส.ทั่วประเทศ โดยมีประชาชนเข้าร่วมฟังการปราศรัยหลายพันคน

ทั้งนี้ ก่อนการปราศรัย บรรดาผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ได้พร้อมใจกันโพสต์สโลแกนบนเพจเฟสบุ๊กว่า “เรียกลุงป้อม นำได้ ตามเป็น เย็นพอ ฟังทุกฝ่าย” พร้อมกันในเวลา 11.37 น.

จากนั้นเวลา 15.00 น. นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรค พปชร. ในฐานะดูแลรับผิดชอบพื้นที่ กทม. กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า เราอยากเห็นประเทศเดินไปทางไหน มีความมั่นคงไม่มีอุบัติสะดุดให้ธุรกิจล้ม หรืออยากเห็นบ้านเมืองแตกแยกทางความคิดรุนแรง คนรุ่นใหม่ไปทาง คนรุ่นเก่าไปทาง หรืออยากเห็นสถาบันหลักของชาติที่เราเคารพนับถือถูกนำมาพูดคุยสนุกปาก ไร้ความเคารพ หรืออยากเห็นการชุมนุม สาเหตุที่ต้องตั้งคำถามแบบนี้กับทุกคน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าตลอด 20 ปีที่ผ่านมา การเมืองไทยในทุกระดับติดหล่มความขัดแย้ง ตั้งแต่การเมืองท้องถิ่น ระดับชาติ เลือกด้วยความเกลียดชัง พวกฉัน พวกเธอ สีนั้น สีนี้ โดยไม่ได้ดูว่าผู้สมัครมีคุณภาพอย่างไรบ้าง หรือแต่ละพรรคเสนอนโยบายอะไรบ้าง หรือแม้แต่ช่วงนี้จะเป็นการหาเสียง ยังเห็นมีความรุนแรงจากความเห็นต่างอยู่เสมอ 2 วันที่แล้ว นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ถูกบุกไปตบหน้า ถือเป็นครั้งที่สองแล้ว เพียงเพราะนายศรีสุวรรณ ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ทำให้กองเชียร์ฝ่ายตรงข้ามไม่พอใจ แต่ที่น่าแปลกใจ มีคนสะใจ และมีคนให้รางวัลกับคนลงมือ เราจะปล่อยให้ประเทศเป็นแบบนี้หรือไม่

นายสกลธี กล่าวว่า หรือเมื่อวันก่อน มีเยาวชนไปแสดงจุดยืนที่ สน.สำราญราษฎร์ มีการทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนได้รับบาดเจ็บที่หัว มีการเอาสีไปสาด เราอยากเห็นแบบนี้หรือ หรือการตรวจสอบคุณสมบัตินักการเมืองกรณีถือหุ้น ทุกคนที่อาสาเข้ามาเป็นผู้แทนต้องยอมรับการตรวจสอบให้ได้ เคารพข้อห้าม ที่พูดเรื่องนี้เพราะเป็นห่วง เนื่องจากมีแกนนำบางพรรคเมืองพูดว่าถ้าได้รับการเลือกตั้งถล่มทลาย ถ้ามีการใช้กฎหมายทำให้โดนถอดถอน บ้านเมืองลุกเป็นไฟแน่ เพราะประชาชนไม่ยอม ซึ่งการพูดแบบนี้ ตนขนลุกกลางเดือน เม.ย.เลย เพราะมีธงอยู่แล้วถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมาบ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ ตนอยากเตือนสติว่า ไม่ว่าคุณจะได้รับการเลือกตั้งแบบถล่มทลายมากแค่ไหนก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรก็ได้ จะใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย จะเอามวลชนมาพิพากษาหรือฟอกผิดให้ใครไม่ได้ แล้วบ้านเมืองจะอยู่อย่างไร มวลชนปะทะกันบ้านเมืองจะสงบสุขได้อย่างไร

นายสกลธี กล่าวว่า ระบอบประชาธิปไตยไม่ได้แปลว่า เสียงข้างมากจะถูกต้องทุกอย่าง การชนะทำให้มีโอกาสบริหารบ้านเมือง แต่ไม่ได้ทำให้อยู่เหนือกฎหมาย ถ้าทำแบบนั้นบ้านเมืองลุกเป็นไฟแน่ ถามว่าอยากเห็นประเทศขัดแย้งแบบที่ผ่านมา 20 ปีหรือไม่ ฉะนั้น การชูแนวทางการก้าวข้ามความขัดแย้งจึงเป็นยิ่งกว่านโยบายของ พปชร. เพราะถ้าเราก้าวข้ามความขัดแย้งไม่ได้ มีนโยบายดีแค่ไหนอย่างไรก็ไม่มีค่า เพราะประเทศจะไม่เหลืออะไรเลย ความรักใคร่กลมเกลียวหลายสิบปีจะแตกหัก ทั้งนี้ ตนโดนถามเยอะมากว่า การก้าวข้ามความขัดแย้งคืออะไร หมายความว่าเราจับกับทุกคน จับกับทุกขั้วหรือไม่ ขอชี้แจงว่าไม่ใช่ แต่คือการทำให้ประชาชนในประเทศกลับมารักกันให้ได้เหมือนเดิม ฟังคนที่เห็นต่าง แตกต่างกันแต่อยู่ด้วยกันได้ เป็นความสวยงามในระบอบประชาธิปไตย

“และบอกตรงนี้เลยว่า แม้การก้าวข้ามความขัดแย้งจะเป็นคำตอบของประเทศ แต่จะมีเส้นที่ก้าวข้ามไม่ได้คือ ข้ามศาสนา และพระมหากษัตริย์ ที่เป็นเสาหลักของประเทศนี้ ดังนั้น หากพรรคใดไม่เอา ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือทำการใดให้สั่นคลอน ถึงจะขัดแย้งก็ต้องขัดแย้ง เพราะยอมรับไม่ได้ เป็นจุดยืนที่เข้มแข็งที่สุดของ พปชร.”นายสกลธี กล่าว

นายสกลธี กล่าวว่า และการก้าวข้ามความขัดแย้ง ลำพังประชาชนทำอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีคนที่เป็นตัวกลางนำก้าวข้ามความขัดแย้ง พปชร.มีลุงป้อม สาเหตุที่เสนอลุงป้อม ให้ลองดูที่ พปชร.พรรคเรามีคนเก่งมากมายในเรื่องเศรษฐกิจ มาอยู่รวมกันได้เพราะลุงป้อมเป็นศูนย์รวมจิตใจของทุกคน เป็นคนที่รับฟังทุกคน อย่างไรก็ตาม ประเทศไม่ใช่ของเล่น ต้องไม่เอาผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ หาเสียงแต่ในเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ คอยแต่สร้างความเกลียดชัง เรายอมไม่ได้ ประเทศเรามีความเป็นประเทศมาหลายร้อยปี มันไม่มีเวลาให้ครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งที่เห็นประเทศเป็นห้างสรรพสินค้า สลับสับเปลี่ยนให้คนในครอบครัว หากพ่อไม่ได้ให้เอาอา อาไม่ได้ให้เอาหลาน ซึ่งไม่ได้ และหลังๆ มานี้จะได้ยินวาทกรรมจากนักการเมืองเยอะมากว่าให้เลือกตั้งแบบมียุทธศาสตร์ ทำนองว่าไม่เลือกเรา เขามาแน่ เลือกให้ขาด อยากเรียนว่า ทุกสิทธิทุกเสียงของประชาชนมีความหมาย การเลือกตั้ง 14 พ.ค. อยากให้ทุกคนเข้าไปเลือกด้วยหัวใจ ไม่ใช่เลือกด้วยความเกลียด หรือความกลัว อย่ากลัวว่าเลือกพปชร. แล้วพรรคอื่นจะมา เหมือนเอาความขัดแย้งของประชาชนมาหากิน เราไม่ทำ

ด้านนายวราเทพ รัตนากร กรรมการยุทธศาสตร์พรรค พปชร. กล่าวปราศรัยว่า บทบาทของคนรุ่นใหม่ใน พปชร. ทำให้พรรคนี้อนาคตไกล ที่ตนยังอยู่พรรคนี้ เพราะไม่มีนายทุน ไม่มีนายใหญ่ และไม่มีครูใหญ่ มีแต่หัวใจที่เรียกว่าใจบันดาลแรง ตลอดการหาเสียงของทุกพรรค 60 วันที่ผ่านมา มีการสร้างความเกลียดชัง ใส่ร้าย แต่ พปชร. มีนโยบายดี ไม่ต้องมีวาทกรรม และก้าวข้ามขัดแย้ง ไม่ต้องแอบอ้าง คิดใหญ่ทำเป็น แต่เราคิดเป็น ทำได้ ทำทันที บางพรรคบอกกาพรรคตัวเอง ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม แต่กา พปชร.จะดีกว่าเดิม ประเทศไทย 20 ปีที่ผ่านมาหาผู้นำที่คิดว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ เห็นอยู่คนเดียวคือ พล.อ.ประวิตร ซึ่งจิตใจดีและตั้งใจสูง ตนถึงไม่ไปไหน หลายคนที่ย้ายไปโทรศัพท์มาว่าถูกหลอก ตนบอกว่าไม่เป็นไร ถ้าเลือกตั้งไม่ชนะจะพิจารณาให้กลับมา เพราะลุงป้อมใจดี ให้อภัยทุกคน จะมีผู้นำคนไหนเป็นแบบนี้ ซึ่งผู้นำหนุ่มสาวประสบการณ์เป็นอย่างไรก็เสี่ยงได้ แต่ความเคลือบแคลงใจว่าทำเพื่อครอบครัวหรือไม่ หรือจะมาเปลี่ยนแปลงประเทศเรารับไม่ได้ใช่หรือไม่ ดังนั้น เราต้องเลือกแบบมีเหตุผล ไม่ใช่ชอบข้างใดข้างหนึ่งอย่างไร้สติ วันนี้หัวหน้าพรรค พปชร.มีโอกาสเป็นนายกฯ สิ่งที่คิดว่าทำไม่ได้ในอดีตลุงป้อมจะทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง

ต่อมาเวลา 15.45 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวปราศรัยบนเวทีว่า วันนี้ถือว่าสำคัญยิ่ง เป็นการปราศรัยครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค.นี้ ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่มาฟังปราศรัยในวันนี้ ทุกนโยบายที่เราหาเสียงไว้ ขอสัญญาว่าเราจะทำให้สำเร็จ เพราะตนเป็นบุคคลที่ไม่มีภาระใดๆ ไม่มีธุรกิจใดๆ ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง มีเพียงภารกิจเดียวที่จะเป็นภารกิจสุดท้ายในชีวิต คือการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้ประเทศไทย ขอให้ทุกคนช่วยกัน ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมาของการเป็นรัฐบาล ตนสามารถพูดคุยกับทุกคน รับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายโดยไม่มีอคติใดๆ ตลอดชีวิตของตนมีหน้าที่ในการปกป้องประเทศจากศัตรูและภยันตรายในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่ความมั่นคง ป้องกันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของเรา วันนี้ตนได้เห็นแล้วว่าประเทศของเรา โดยเฉพาะปัญหาความยากจนและปัญหาปากท้อง ไปจนถึงการก้าวข้ามความขัดแย้ง และการก้าวล่วงสถาบัน การแทรกแซงทางการเมืองทั้งจากภายในประเทศและ นอกประเทศ ตนและพรรค พปชร.มุ่งมั่นจะเอาชนะปัญหาเหล่านี้ให้ได้ ขอให้รับรองว่าเราจะไปด้วยกัน ทุกนโยบายที่รับปากประชาชนไว้ ตนจะทําทันทีที่เป็นนายกรัฐมนตรี ขอให้เชื่อมั่นว่าตนจะทำได้ พรรค พปชร.และผู้บริหารทุกคน จะนําประชาชนไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง พรรค พปชร.จะช่วยกันทำให้ประเทศมีความเจริญรุ่งเรืองต่อไป

“ขอให้เลือกผมและพรรคพลังประชารัฐ ประเทศชาติจะไม่วุ่นวาย เศรษฐกิจจะเดินหน้า ค้าขายจะเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นไป เพราะฉะนั้นขอให้เลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 และขอฝากผู้สมัครของแต่ละเขตด้วย เราจะก้าวข้ามความขัดแย้งไปด้วยกัน เพราะถ้าประเทศเรามีความสงบ ความเจริญก็จะมาสู่ประเทศเราอย่างแน่นอน พรรคพลังประชารัฐ ผู้บริหาร และผู้สมัครทุกคน ยินดีที่จะทำเพื่อประชาชน นำความเจริญมาสู่ประเทศชาติ ขอให้ทุกคนก้าวข้ามความขัดแย้งไปด้วยกัน

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ถึงคิว 'พปชร.' เป็นเจ้าภาพนัดกินข้าวพรรคร่วมฯ 'เศรษฐา' ขออย่าโยงปรับ ครม.

'เศรษฐา' บอก ถึงคิว พปชร. เป็นเจ้าภาพนัดกินข้าวพรรคร่วมรัฐบาล แต่ยังไม่ได้นัดมา ขออย่าโยงเอี่ยวปมปรับ ครม. ยันไม่มีปัญหาพรรคร่วมฯ พูดคุยกันดี เมินแรงกระเพื่อม ย้ำยึดผลงาน

'ธรรมนัส' เชื่อ 'บิ๊กป้อม' มีชื่อสำรอง หาก 'ไผ่ ลิกค์' คุณสมบัติไม่ผ่านเป็นรมต.

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) พรรคพลังประชารัฐ ได้เสนอชื่อต่อนายกรัฐมนตรีแล้วหรือไม่ กับโควตาที่ยังว่างอยู่ ว่า ขณะนี้นายกรัฐมนตรียังไม่ได้ส่งสัญญาณอะไร

‘ชัยวุฒิ’ ร่วมงานสงกรานต์ จ.สิงห์บุรี รำกลองยาว อวยพรสุขกรานต์ สุขกายสุขใจ

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย นายโชติวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ส.ส.สิงห์บุรี ใช้โอกาสวันสงกรานต์ กลับบ้านสิงห์บุรี

'เศรษฐา' การันตีโควตา รมต. ยังเป็นของพลังประชารัฐ ยันไม่ก้าวล่วงคนนั่งแทน 'ไผ่ ลิกค์'

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญ ไม่รับคำร้องวินิจฉัยคุณสมบัติ นายไผ่ ลิกค์ สส. กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ ว่า ยังไม่ทราบเรื่องนี้

ลูกพรรคพปชร. รดน้ำขอพร 'บิ๊กป้อม' กำชับสส. เข้าประชุมสภาพร้อมเพรียง

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พล.ต.อ.พัชรวาทวงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า