'จตุพร' ฟันเปรี้ยง! 'เศรษฐา' พ้นนายกฯ 'ยิ่งลักษณ์' ได้กลับบ้าน 'ก้าวไกล' กวาด สว.

‘จตุพร’ ย้ำถึงเวลา ‘เศรษฐา’ พ้นนายกฯ หลีกทาง ‘ยิ่งลักษณ์’ กลับบ้าน ชี้ ‘ทักษิณ’ ไม่นอนคุก จุดเปราะบาง ยิ่งทำก้าวไกลคะแนนนิยมพุ่ง โอกาสกวาด สว. สีส้มเต็มสภา

26 ก.พ. 2567 – นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ว่า เวลาของนายเศรษฐา ทวีสิน ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี งวดใกล้สิ้นสุดลงทุกขณะ คาดสถานการณ์บี้ ขยี้จะรุนแรงขึ้นตั้งแต่กลางมีนาคมนี้ ดังนั้นอย่างช้าก่อน 10 เมษายน ต้องจำใจหยุดแสดงบทบาทนายกฯ

นายจตุพร กล่าวว่า การดีลให้นายทักษิณ ชินวัตร กลับบ้านโดยไม่ติดคุกสักวันเมื่อ 22 สิงหาคม 2566 นั้น มีเป้าหมายให้นำพรรคเพื่อไทยสกัดพรรคก้าวไกลไม่ให้เติบโตไปกว่านี้อีก แต่คงยากมากที่จะสกัดได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อทักษิณไม่ยอมติดคุกสักวันจึงเป็นจุดเปราะบางเกิดภาพลักษณ์ด้านลบ ถูกครหาสองมาตรฐาน เป็นพวกอภิสิทธิ์ชน ประชาชนประจานซ้ำเติมหนักขึ้น ขณะที่ก้าวไกลยิ่งกอบโกยความนิยมมากขึ้น โอกาสจะได้ครองเสียง สว.จำนวนมากก็เป็นไปได้ ดังนั้นนายทักษิณ จึงไม่ได้มาช่วยสกัดความเติบใหญ่ของก้าวไกลเลย

“ถ้าก้าวไกลมีเสียง สว. สีส้มเต็มสภา จะรับกันไหวหรือไม่ เพราะ สว. ต้องเลือกองค์กรอิสระ เลือกบุคคลไปเป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นศาลรัฐธรรมนูญ เป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน รวมทั้งคัดเลือกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้วย นอกจากนี้ความนิยมของก้าวไกลยังจะไหลไปสู่ชัยชนะเลือกตั้งท้องถิ่นได้ง่ายดายขึ้น ทั้งองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) หรือเทศบาล และสิ่งเหล่านี้พรรคเพื่อไทยคงสู้ก้าวไกลไม่ได้ในทางการเมือง” นายจตุพร ระบุ

ส่วนกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ไปพบนายทักษิณที่บ้านจันทร์ส่องหล้า คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ทำให้คนเห็น แต่เป็นเจตนาเพื่อสังสัญญาณให้ฝ่ายดีลกันไว้ได้สบายใจว่า ยังรักษาดีลตามที่ตกลงกันไว้ ดังนั้น นายเศรษฐา จึงถูกเรียกตัวไปพบทักษิณ และต้องย้ำให้ยึดมั่นดีล เมื่อนายทักษิณได้พักโทษ นายเศรษฐาต้องลงจากตำแหน่งนายกฯ อย่างไม่มีข้อบิดพลิ้ว หากนายเศรษฐา ยังตื้อดึงจะเป็นนายกฯ ต่อไป แต่ต้องไม่ลืมไปว่า นายเศรษฐา เป็นแค่ตัวเลือกให้มาแสดงในตำแหน่งนายกฯ ที่สำคัญยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับธุรกิจเดิมอยู่ ดังนั้นการบิดพลิ้วอยู่เป็นนายกฯ ต่อย่อมกระทบกับคดีความต่างๆ จะตามมาเล่นงานเอาได้ในภายหลัง

“การดีลและการเลือกคนมาเป็นนายกฯ เขาจะเลือกคนที่สะอาดหมดจดไม่ได้ เพราะจะเป็นปัญหาเมื่อต้องการให้่ออก ดังนั้น คนที่มีบาดแผลจึงเข้าคุณสมบัติในดีลให้เป็นนายกฯ อีกทั้งคนดีลยังถูกคล้องไว้ไม่ให้ได้อิสระเสรี คือต้องมีคดีคาไว้ เพื่อป้องกันการเบี้ยวดีล”

นอกจากนี้ การดีลที่เกิดขึ้นยังวางตาข่ายไว้มากมายเพื่อป้องกันไม่ให้นายเศรษฐาเบี้ยวดีลในตำแหน่งนายกฯ โดยให้บริหารประเทศ แต่ไม่ยอมให้งบประมาณมาใช้จ่าย สิ่งนี้ย่อมทำให้บริหารประเทศได้ยากลำบากขึ้น และเป็นการกดดันทางอ้อมต่อตัวนายเศรษฐาด้วย

นายจตุพร กล่าวว่า สิ่งน่ากังวลอย่างยิ่งกรณีนายเศรษฐา ใช้รถหลวงประจำตำแหน่งนายกฯ คันใหม่ ราคากว่า 7 ล้านบาทไปพบทักษิณ ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า โดยใช้ในกิจการที่ดูเหมือนจะถูกครหาเป็นเรื่องส่วนตัว และการใช้รถหลวงแบบนี้มีคดีความเกิดขึ้นมากมาย และถูกวินิจฉัยเป็นความผิดจนต้องพ้นจากตำแหน่งทางการเมืองและติดคุกกันระนาว ดังนั้น นายเศรษฐา จึงควรคำนึงและระมัดระวังในเรื่องเหล่านี้ด้วย เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเสียหายลุกลามบานปลายไปเป็นอุปสรรคทางการเมือง

“การเดินทางไปพบทักษิณ ในวันอาทิตย์ ถือว่าเป็นการทำหน้าที่หรือเปล่า ฉะนั้นนายเศรษฐา ต้องระมัดระวัง แต่การกดกระจกลงเพื่อจงใจให้คนเห็น แล้วออกมายืนสัมภาษณ์หน้าประตูบ้านที่ปิดเรียบร้อยนั้น คนเป็นนายกฯ ไม่ควรทำถึงขั้นนั้น แต่ที่น่าสนใจมากกว่า คือ คนที่เข้าไปพบทักษิณก่อนนั้นเป็นใคร แล้วถัดมารถนายเศรษฐาก็ตามเข้าไป” นายจตุพร ระบุ

นายจตุพร กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองกำลังเดินมาถึงจุดน่าสนใจมากขึ้น เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะเดินทางกลับไทยตามดีลกันไว้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม การดีลทางการเมืองล้วนเป็นอำนาจและผลประโยชน์ที่ลงตัวกัน และที่สำคัญไม่มีใครได้ฝ่ายเดียว

“การเดินทางกลับบ้านของทักษิณ และยังไม่ติดคุกสักวันนั้น สิ่งที่น่าสนใจคือ จะมีการปฏิบัติตามดีลหรือไม่ เพราะต้องผูกพันและต่อเนื่องกับยิ่งลักษร์ต้องเดินทางกลับมา ดังนั้นวันที่ 4 มีนาคม ศาลนัดอ่านคำวินิจฉัยคดีของยิ่งลักษณ์ และอัยการสูงสูงนัดฟังคำสั่งคดีทักษิณวันที่ 10 เมษายน ดังนั้นตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมนี้จึงเป็นเวลาสำแดงที่นายเศรษฐาต้องพ้นไปจากนายกฯ หรืออย่างช้าสุดคงยื้อได้ถึงก่อน 10 เมษายนนี้” นายจตุพร กล่าว

สำหรับการดีลที่เกิดขึ้นนั้น พรรคเพื่อไทยได้ตามที่ดีลไว้แล้ว โดยให้นายทักษิณกลับบ้าน แล้วยังมีการตกลงกันอีกในเรื่อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องกลับบ้านตามมาด้วย อีกอย่างการกลับบ้านของนายทักษิณ ต้องเลือกกลับในวันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ซึ่งเป็นไปตามดีลที่ตกลงกันไว้

ส่วนการตั้งรัฐบาลข้ามขั้วไปจับมือกับพรรคที่หนุน พล.อ.ประยุทธ์ นั้น ก็เป็นไปตามดีลเช่นกัน เพราะถ้าพรรคเพื่อไทยจับมือกับก้าวไกลแล้ว นายทักษิณก็ไม่ได้กลับบ้าน หรือกลับมาต้องติดคุก 8 ปี ดังนั้น สิ่งเหล่านี้จึงเป็นดีลที่มีเงื่อนอันสมบูรณ์ที่สุดของนายทักษิณกลับบ้านโดยไม่ต้องติดคุกสักวัน และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอีก แต่เป็นไปตามดีลที่ตกลงกันไว้ ดังนั้น การได้เพื่อไทยเป็นรัฐบาล นายเศรษฐาเป็นนายกฯ ล้วนเป็นสิ่งผิดธรรมชาติ การจะพ้นตำแหน่งไปจึงไม่ใช่เรื่องดี หรือไม่ดี หรือบริหารประเทศไม่ได้ แต่มันคือข้อตกลงที่ให้เป็นนายกฯ ได้แค่นี้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'เศรษฐา' เฉ่ง 'อธิบดีกรมโรงงาน' ลงพื้นที่ช้า เรียกปลัด-รมว.อุตฯ คุยหลังไมค์เหตุไฟไหม้โกดังระยอง

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ตรวจติดตามสถานการณ์การแก้ไขปัญหาเหตุเพลิงไหม้โรงงานเก็บกากสารเคมีอุตสาหกรรม บริษัท วินโพรเสส จำกัด ตำบลบ้านค่าย อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง โดยทันทีที่นายกฯมาถึง ได้รับฟังรายงานการดำเนินการในพื้นที่​

นายกฯ ชูเมืองจันทบุรี โมเดลพัฒนาผลไม้ไทย กำชับพาณิชย์ดูแลราคาไม่ให้ตก

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เดินทางถึงบริษัท ดรากอน เฟรช ฟรุท จำกัด ตำบลมะขาม อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี เพื่อตรวจติดตามการคัดบรรจุทุเรียนคุณภาพและการแปรรูปทุเรียน

‘เศรษฐา’ ลุยสวน ชิมทุเรียน 3 สายพันธุ์

เมื่อเวลา 10.00 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เดินทางด้วยรถยนต์อัลพาร์ด สีดำ ทะเบียน 8 กผ 1127 กรุงเทพมหานคร ถึงสวนนวลทองจันทร์ ตำบลมาบไพ อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี เพื่อตรวจติดตามการผลิตทุเรียนคุณภาพปลอดภัยมูลค่าสูง และรับฟังปัญหาจากเกษตรกร