เร่งเดินหน้าเปิดกาสิโน 'วิษณุ' นำทีม กฤษฎีกาฯ รื้อร่าง.ก.คลังฯ กระจุย!

 ดับฝันผีพนันไทย ตั้งกำแพง กระเป๋าไม่หนักอดเข้า  ต้องมีเงินในบัญชี 50 ล้านบาทต่อเนื่องหกเดือน เพิ่มรับฟังความคิดเห็นประชาชน –ทำอีไอเอ ล็อกใช้พื้นที่ทำบ่อนไม่เกิน 10เปอร์เซ็นต์ –ให้มีมาตรการเยียวยาฯ  –ต้องจ้างคนไทยทำงานเป็นส่วนใหญ่–ห้ามมีค้าประเวณีเด็ดขาด     

18 ก.พ. 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการผลักดันร่างพรบ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรหรือ ร่างกม.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ของรัฐบาลเพื่อไทย ที่เร่งเดินหน้าการออกกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้มีการออกใบอนุญาตให้มีการเปิดเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่จะมีการเปิดกาสิโนในพื้นที่ดังกล่าวด้วย โดยพบว่ากระบวนการผลักดันร่างพรบ.สถานบันเทิงครบวงจรฯ กำลังดำเนินไปอย่างรวดเร็ว

ซึ่งหลังกระทรวงการคลังนำร่างพรบ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรฯ เข้าที่ประชุมครม.เห็นชอบเมื่อ 13 ม.ค. 2568 ต่อมา ครม.ส่งร่างให้คณะกรรมการกฤษฎีกาฯ พิจารณาให้แล้วเสร็จภายในไม่เกิน 50 วัน

หลังจากได้รับร่างฯดังกล่าว จากกระทรวงการคลัง ทางสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าร่างพรบ.ดังกล่าวเป็นกฎหมายใหญ่ และมีผลกระทบทางการเมืองและสังคมสูง จึงตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษโดยมีนายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกฯ ที่มีบทบาทในสำนักงานฯ ระดับเป็นเบอร์สองของคณะกรรมการกฤษฎีกา รองลงมาจากนายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานวุฒิสภา เป็นหัวหน้าทีมคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษ ที่พิจารณาร่างพรบ.ดังกล่าว  

โดยรัฐบาลส่งตัวแทนที่เป็นฝ่ายการเมือง ไป ร่วมประชุมกับคณะกรรมการกฤษฎีกาทุกนัดคือ  นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และนายฉัตริน จันทร์หอมรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เพื่อคอยติดตามการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาและคอยรายงานข้อมูลให้กระทรวงการคลังทราบทุกสัปดาห์

ล่าสุด คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา ปรับปรุงร่างพรบ.ฯ ดังกล่าวเสร็จแล้ว และอยู่ระหว่างรับฟังความเห็นประชาชน ครั้งที่ 3. ตั้งแต่ วันที่ 15. ก.พ. – 1 มี.ค.2568

และขั้นตอนต่อไป หลังเสร็จสิ้นการรับฟังความคิดเห็นในวันที่ 1 มีนาคม คณะกรรมการกฤษฎีกา จะประมวลสรุปส่งกลับคืนไปยังกระทรวงการคลัง และคาดว่า กระทรวงการคลังจะส่งร่างฯฉบับล่าสุดให้ที่ประชุมครม.เห็นชอบในเดือนมีนาคมนี้

 สำหรับร่างพรบ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรฯ ดังกล่าว มีทั้งสิ้น 79 มาตรา โดยมีประเด็นสำคัญๆ อาทิเช่นเรื่อง”พื้นที่ทำกาสิโน”ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมจับตาและถกเถียงกันอย่างมาก ทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยให้มีการเปิดกาสิโน  

ในมาตรา 18 (6) ที่เป็นเรื่องอำนาจหน้าที่คณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร บัญญัติไว้ว่า

“กำหนดสัดส่วนพื้นที่ของกาสิโนในสถานบันเทิงครบวงจร ทั้งนี้ ต้องไม่เกินร้อยละสิบของที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานบันเทิงครบวงจร ในกรณีที่กาสิโนตั้งอยู่ในอาคารใดให้นับจากพื้นที่อาคารนั้นทั้งหมด”

ซึ่งร่างเดิมของกระทรวงการคลังไม่ได้กำหนดพื้นที่ในการทำกาสิโน ไว้ชัดเจนตามร่างใหม่ฯ

นอกจากนี้ร่าง พ.ร.บ.กำหนดให้ควบคุมการขยายพื้นที่การให้บริการกาสิโนในพื้นที่ที่จะลงทุนเพิ่มเติมในกิจการอีก 4 ประเภทที่ลงทุนห้าม และให้มีการทำธุรกิจกาสิโนในพื้นที่ใหม่ที่จะลงทุนด้วย โดยสถานที่จะทำสถานบันเทิงครบวงจรฯ ร่างดังกล่าวเขียนไว้ว่า ที่ตั้งในการทำฯ ต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกา โดยพระราชกฤษฎีกาต้องกำหนดรายละเอียด คือ 1.แนวเขตที่ดินที่จะอนุญาตให้ตั้งสถานบันเทิงครบวงจรโดยชัดเจน2.แผนที่หรือแผนผังบริเวณพื้นที่ที่จะอนุญาตให้ตั้งสถานบันเทิงครบวงจร

สำหรับการกำหนดพื้นที่ให้ตั้งสถานบันเทิงครบวงจรฯ ร่างดังกล่าวเขียนไว้ในมาตรา 9 ว่า  “ให้คณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรแต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อศึกษาความเหมาะสมของพื้นที่ ความเหมาะสมทางด้านการเงิน ตลอดจนผลกระทบและแนวทางหรือมาตรการป้องกัน แก้ไข หรือเยียวยาผลกระทบดังกล่าว และความคุ้มค่าที่ประชาชนในพื้นที่และรัฐจะได้รับ โดยต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสีย ผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินข้างเคียง และหน่วยงานของรัฐที่ใช้ประโยชน์หรือดูแลที่ดินข้างเคียงหรือทางเข้าออกของที่ดินที่อาจได้รับผลกระทบจากการอนุญาตให้มีการตั้งสถานประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร และนำผลการรับฟังความคิดเห็นเสนอคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรนำไปประกอบการพิจารณาด้วย ซึ่งการรับฟังความคิดเห็นดังกล่าว ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนด”

ซึ่งพบว่า การให้มีการรับฟังความคิดเห็นดังกล่าว รวมถึงการให้มี มาตรการป้องกัน แก้ไข หรือเยียวยาผลกระทบฯ ในการเปิดเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่มีกาสิโนดังกล่าว เป็นเรื่องที่เขียนขึ้นใหม่ในชั้นคณะกรรมการกฤษฎีกาฯ เพราะร่างเดิมของกระทรวงการคลัง ไม่มีประเด็นดังกล่าว โดยเฉพาะเรื่อง”การเยียวยา”

นอกจากนี้ในมาตรา 10 ยังเขียนไว้อีกว่า การจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจรในพื้นที่ต่างๆ ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สุขภาพของประชาชนหรือชุมชนตามที่มีกฎหมายกำหนด ให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการเป็นการเฉพาะเพื่อพิจารณาให้ความเห็นหรือความเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการโดยต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่ได้รับรายงานที่ถูกต้องและมีข้อมูลครบถ้วน

ส่วนประเด็นเรื่อง”ซุปเปอร์บอร์ด”หรือคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร ที่เป็นคณะกรรมการที่มีอำนาจมากที่สุด และที่ผ่านมา ถูกวิจารณ์อย่างมากว่าร่างของก.คลังฯ มีการให้อำนาจกับคณะกรรมการมากเกินไป จนถูกเรียกว่า”ตีเช็คเปล่า”ให้กับกรรมการที่ส่วนใหญ่เป็นนักการเมือง คือรัฐมนตรีในตำแหน่งต่างๆ และคนจากฝ่ายการเมืองตั้งไปเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ  

พบว่า ร่างของคณะกรรมการกฤษฎีกาฯ ยังคงให้ นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเป็นรองประธาน พร้อมคณะกรรมการอีก 15 คน โดยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิหกคน ให้อำนาจนายกฯเป็นคนแต่งตั้ง

ส่วนอำนาจหน้าที่ของซุปเปอร์บอร์ด ร่างกม.กาสิโน ตามร่างของกฤษฎีกา พบว่าส่วนใหญ่ยังเหมือนกับร่างเดิมของก.คลัง เช่น -เสนอแนะการกำหนดพื้นที่ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และแนวทางการกำหนดจำนวนใบอนุญาต ที่ก็คือให้อำนาจกับซุปเปอร์บอร์ด ในการกำหนดว่าจะให้เปิดเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ในจังหวัดใด พื้นที่ใดได้บ้าง และกำหนดว่าจะให้ออกใบอนุญาตเปิดได้กี่ใบ หลังกฎหมายประกาศใช้ – เสนอแนะอัตราภาษีที่เกี่ยวข้องกับกาสิโนต่อคณะรัฐมนตรี – กำหนดนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร และกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการบริหารจัดการสถานบันเทิงครบวงจร-กำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางในการดำเนินธุรกิจตามประเภท ลักษณะ และขนาด ของธุรกิจสถานบันเทิงฯ – กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต และอัตราค่าธรรมเนียมโดยจะกำหนดเป็นอัตราเดียวหรือหลายอัตราตามปีที่ได้รับใบอนุญาตก็ได้แต่ต้องไม่เกินอัตราตามบัญชีแนบท้ายพระราชบัญญัตินี้-พิจารณาให้ต่ออายุ หรือเพิกถอนใบอนุญาต เป็นต้น

ในร่างพรบ.ดังกล่าวฯ ของคณะกรรมการกฤษฎีกาฯเขียนไว้อีกว่า ผู้จะได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร -กาสิโนได้  จะต้องประกอบด้วยธุรกิจสถานบันเทิงตามบัญชีแนบท้ายพระราชบัญญัตินี้อย่างน้อยสี่ประเภท ร่วมกับกาสิโน และต้องเป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทย มีทุนชำระแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท ใบอนุญาตมีอายุ 30 ปี และประเมินผลการดำเนินงานทุก 5 ปี เมื่อใบอนุญาตครบอายุ ให้คณะกรรมการนโยบายมีอำนาจให้การพิจารณาต่ออายุใบอนุญาตได้คราวละไม่เกินสิบปี

ที่น่าสนใจ คณะกรรมการกฤษฎีกา เขียนเรื่องบุคคลสัญชาติไทยซึ่งจะเข้าไปในกาสิโนว่าต้องมีอายุเกินยี่สิบปี -ต้องลงทะเบียนและชำระค่าธรรมเนียมตามที่คณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนดและที่สำคัญ ต้อง มีเงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำไม่น้อยกว่าห้าสิบล้านบาทต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่าหกเดือน ซึ่งร่างเดิมของกระทรวงการคลัง ไม่มีเรื่องเงินในบัญชี 50 ล้านเขียนล็อกไว้

นอกจากนี้ ยังเขียนไว้อีกว่า หลังได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรแล้ว ผู้ได้รับอนุญาต ต้องเริ่มประกอบสถานบันเทิงครบวงจรภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยหากผู้รับใบอนุญาตไม่สามารถดำเนินการภายในระยะเวลาดังกล่าวได้ด้วยเหตุจำเป็นที่มิได้เกิดจากความผิดของผู้รับใบอนุญาต ให้ผู้รับใบอนุญาตยื่นขอขยายระยะเวลาการเริ่มประกอบสถานบันเทิงครบวงจรต่อคณะกรรมการนโยบายก่อนสิ้นสุดระยะเวลาดังกล่าวได้ และคณะกรรมการนโยบายอาจพิจารณาตามความจำเป็นและเหมาะสม

รวมถึง ผู้รับใบอนุญาตจะต้องจัดให้มีระบบการควบคุมกาสิโนที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และจะต้องจัดให้มีมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาอันเกิดจากสถานบันเทิงครบวงจรไม่ต่ำกว่าที่ได้ยื่นไว้ขณะขออนุญาต 

คณะกรรมการกฤษฎีกาฯยังเขียนไว้อีกว่า สำหรับพื้นที่กาสิโน ต้องจัดให้มีเขตบริเวณของกาสิโนแยกเป็นเอกเทศจากสถานประกอบธุรกิจสถานบันเทิงอื่น และผู้รับใบอนุญาตต้องควบคุมไม่ให้ผู้เข้าไปในกาสิโน มีพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสมหลายอย่างเช่น เข้าติดต่อ ชักชวน แนะนำตัว ติดตาม หรือรบเร้าบุคคลอื่น

เพื่อการค้าประเวณีอันเป็นการเปิดเผยและน่าอับอายหรือเป็นที่เดือนร้อนรำคาญ อีกทั้ง ต้องจ้างผู้มีสัญชาติไทยเป็นพนักงานในสถานบันเทิงครบวงจรตามสัดส่วนที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด เป็นต้น

ซึ่งรายละเอียดข้างต้นดังกล่าว พบว่าในร่างเดิมของกระทรวงการคลัง ไม่มีการเขียนไว้แบบลงรายละเอียดมากเท่ากับร่างของคณะกรรมการกฤษฎีกาฯ

โดยพบว่า ร่างพรบ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เมื่อเปรียบเทียบกัน ระหว่างร่างเดิมของกระทรวงการคลัง กับร่างที่คณะกรรมการกฤษฎีกา ฯ พิจารณาแล้วเสร็จ มีการแก้ไขเพิ่มเติมรายละเอียสำคัญบางส่วนเช่นร่างของคณะกรรมการกฤษฎีกาฯ มีการการกำหนดสัดส่วนพื้นที่ในการเปิดกาสิโนไว้ชัดเจนคือไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์  และต้องมีการเปิดรับฟังความเห็นประชาชน ชุมชน ในพื้นที่รอบบริเวณการก่อสร้างรวมถึงศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ก่อนการก่อสร้างฯ  ที่พบว่าร่างเดิมของกระทรวงการคลังไม่ได้เขียนไว้ รวมถึงการเขียนให้มีเรื่องของการออกมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบฯ จากการเปิดสถานบันเทิงครบวงจรฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่ภาคประชาสังคมเคยทักท้วงเอาไว้ ตลอดจนการลงรายละเอียดเรื่อง การดำเนินการธุรกิจกาสิโนที่มีการเพิ่มรายละเอียดไว้ค่อนข้างมาก  เช่นการเขียนไว้ว่าต้องรับบุคคลสัญชาติไทยเข้าไปทำงานในเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ในสัดส่วนเท่าใด ,การเขียนให้ผู้เปิดกาสิโนต้องเข้มงวดกับคนที่เข้าไปเล่นในกาสิโน ที่ห้ามไม่ให้มีเรื่องของการค้าประเวณีเกิดขึ้น เป็นต้น     

อย่างไรก็ตาม พบว่าท่าทีของแกนนำรัฐบาลเพื่อไทย ตั้งแต่นายทักษิณ ชินวัตร ตลอดจนรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเช่น จุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง บอกไว้ก่อหน้านี้ ว่ากาสิโนที่จะเปิดในพื้นที่ฯ จะมีไม่เกินสิบเปอร์เซ็นต์ ทำให้คาดว่าประเด็นดังกล่าว รัฐบาลคงไม่ติดใจเท่าใดนัก ยกเว้นอาจมีรายละเอียดบางส่วนที่อาจไม่เห็นด้วย เช่นการเพิ่มเรื่องการให้รับฟังความคิดเห็นประชาชน-ชุมชน ก่อนการก่อสร้าง ที่อาจมีผลต่อการออกใบอนุญาต และการก่อสร้างที่ทำให้ใช้เวลานานกว่าเดิม เป็นต้น  และหากครม.ผ่านความเห็นชอบร่างดังกล่าวของคณะกรรมการกฤษฎีกาฯ โดยไม่ได้มีการแก้ไข จากนั้น ก็จะเสนอร่างฯ ไปที่สภาฯ ที่คาดว่า จะมีทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน เสนอร่างพรบ.ฯ ประกบกับร่างของครม.