ลูกใครก็ใหญ่ได้ ถ้าพ่อแม่มีอำนาจ 'ระบอบเลือดผสม' ในนามประชาธิปไตย

กลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา ชายหนุ่มวัยยี่สิบปลายๆ ขับรถหรูพุ่งปาดหน้ารถกระบะบนถนนกาญจนาภิเษก (ทล.พ.9) กม.23+400 ต.รังสิต อ.ธัญบุรี ก่อนจะลงจากรถอย่างไม่สะทกสะท้าน แม้จะมีผู้ได้รับบาดเจ็บ

เหตุการณ์นี้อาจเป็นเพียงอุบัติเหตุ หากไม่มีข้อมูลตามมาว่า ผู้ก่อเหตุมีความเกี่ยวพันกับตระกูลการเมืองท้องถิ่นที่มีอิทธิพลในพื้นที่

เมื่อชื่อของเขาเริ่มถูกโยงเข้ากับกลุ่มการเมืองท้องถิ่น คลิปวิดีโอก็ไม่ใช่แค่ภาพประกอบข่าว แต่กลายเป็นกระจกสะท้อนโครงสร้างอำนาจในสังคมไทย

อภิสิทธิ์บางอย่างไม่ได้มาจากตำแหน่ง แต่อาจฝังอยู่ในสายเลือด และเติบโตบนความเงียบของระบบที่ยอมรับมันโดยไม่ตั้งคำถาม

คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่า “เขาเป็นใคร” แต่คือ “เรากำลังอยู่ในระบบแบบไหน ที่ทำให้บางคนไม่จำเป็นต้องเคารพกติกาเดียวกับคนอื่น”

ในสังคมไทย อิทธิพลไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่ง ไม่ต้องมีเครื่องแบบ หรือยศถาบรรดาศักดิ์ แค่มีนามสกุลบางชื่อ ก็สามารถ “สั่งเงียบ” ได้โดยไม่ต้องพูด

การเมืองท้องถิ่นจำนวนไม่น้อย ไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักแห่งการแข่งขันเสรี หากแต่หยั่งรากจากเครือข่าย เครือญาติ และผลประโยชน์ที่ทับซ้อนกันมาหลายชั้น

“บ้านใหญ่” หลายแห่งอาจไม่ได้ชนะเลือกตั้งด้วยวิสัยทัศน์ แต่เพราะความสัมพันธ์ที่ควบรวมกลไกท้องถิ่น ทุน และข้าราชการระดับพื้นที่ไว้ในมือ

แม้บางคนในตระกูลจะไม่เคยดำรงตำแหน่ง แต่ชื่อสกุลก็ปูทางให้ลูกหลานเข้าสู่สนามการเมืองได้โดยไม่มีใครกล้าตั้งคำถามถึงคุณสมบัติ

คำว่า “นักการเมืองหน้าใหม่” จึงกลายเป็นคำลวง เพราะบ่อยครั้งคนหน้าใหม่คือคนเก่าที่ย้ายรุ่นเท่านั้น

เมื่อความพร้อมถูกแทนที่ด้วยสายเลือด ความสามารถก็ถูกลดความสำคัญลงโดยปริยาย

และเมื่อโครงสร้างนี้ถูกสะท้อนซ้ำในระดับชาติ ประชาธิปไตยแบบวงศ์วาน ก็ไม่ใช่แค่คำเหน็บแนมอีกต่อไป

การเมืองไทยไม่เคยขาดคนรุ่นใหม่ แต่คนรุ่นใหม่ที่ขึ้นมาได้ มักเป็นคนที่มีแบ็ก ไม่ใช่คนที่ปีนขึ้นมาด้วยมือเปล่า

สนามเลือกตั้งจึงไม่ใช่สนามของแนวคิด แต่เป็นสนามวิ่งผลัด ที่บางคนได้รับไม้ต่อจากพ่อแม่ ขณะที่อีกหลายคน แม้จะซ้อมหนักแค่ไหน ก็ไม่ได้เข้าใกล้เส้นสตาร์ท

และเมื่อความได้เปรียบเริ่มตั้งแต่ “ชื่อ” บนป้ายหาเสียง ประชาธิปไตยก็กลายเป็นเพียงพิธีกรรม ไม่ใช่การแข่งขันที่แท้จริง

หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของ การเมืองสายเลือดในระดับชาติ คือกรณีของ นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร

“แพทองธาร” ไม่ได้รับตำแหน่งจากการเลือกตั้งโดยตรง แต่ได้มาในระบบรัฐสภาผ่านพรรคที่โยงใยกับครอบครัวของเธออย่างแนบแน่น

แม้จะมีบุคลิกอ่อนโยนและวุฒิการศึกษาดี แต่คำถามยังอยู่ที่ว่าแพทองธาร เติบโตจากบทพิสูจน์จริง หรือจากโครงสร้างที่บ้านส่งมา

วาทกรรม “ฉันเป็นนายกฯ เจนวาย” ที่เคยประกาศ จึงไม่ใช่แค่คำพูด แต่เป็นการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนถามกลับว่า “เจนวายได้อะไรจริงๆ?”

นโยบายด้านแรงงาน การศึกษา สวัสดิการ และการจ้างงานสำหรับคนรุ่นใหม่ ยังไม่มีทิศทางชัดเจน ไม่มีความกล้าพลิกโครงสร้างที่กดทับคนหนุ่มสาว

สิ่งที่ปรากฏมีเพียง การรักษาสมดุลในพรรคร่วม มากกว่าการเสนอความหวังใหม่ให้กับอนาคตของประเทศ

และเมื่อระบบยังเปิดทางให้เฉพาะคนที่มีสายเลือดการเมือง คนรุ่นใหม่อีกมากจึงไม่มีแม้แต่พื้นที่จะส่งเสียง

การเมืองไทยไม่ใช่สนามแข่งขันของอุดมการณ์ แต่เป็นสมบัติของสายเลือด ที่อำนาจถูกสืบทอดอย่างไม่เป็นทางการ แต่แน่นหนา

ในขณะที่ลูกนักการเมืองบางคนขับรถหรูปาดหน้าคนธรรมดา นายกฯ ลูกนักการเมืองก็กำลังขับประเทศไปด้วยความเร็วที่ไร้ทิศทาง

ระบบแบบนี้อาจไม่ผิดกฎหมาย แต่ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับสาระของประชาธิปไตยที่ควรตั้งอยู่บนความเสมอภาค ไม่ใช่สายสัมพันธ์

เมื่อการเข้าสู่สภายังต้องอาศัยนามสกุล

เมื่อการตั้งรัฐบาลยังวนเวียนในวงตระกูล

เมื่อการเป็นนายกฯ ยังต้องมีพ่อชื่อ “ทักษิณ”

ประชาธิปไตยก็กลายเป็น “ระบอบเลือดผสม” ที่สวมเสื้อประชาธิปไตยไว้ภายนอก แต่ข้างในยังขับเคลื่อนด้วยอำนาจเชิงสายเลือด

ลูกใครจะใหญ่ก็ไม่ผิด ถ้าใหญ่จากการพิสูจน์ ไม่ใช่มาจากการสืบทอด

แต่ถ้าสังคมยังยกมือให้กับ “ลูกของใคร” มากกว่าความสามารถที่จับต้องได้

ประเทศนี้จะ ไม่เดินหน้าเพราะนโยบายหรืออุดมการณ์ แต่จะวนอยู่กับคนหน้าเดิมที่สืบทอดโครงสร้างเดิม

และหากประชาธิปไตยยังเปิดทางให้ เฉพาะคนที่เกิดในตระกูลอำนาจ ผู้คนที่ “ไม่มีแบ็ก” ก็จะไม่มีแม้แต่สิทธิ์ฝันถึงการเปลี่ยนแปลง

สุดท้าย ประเทศนี้จะไม่ขับเคลื่อนไปไหนเลย—เพราะอนาคต ถูกจัดสรรไว้ตั้งแต่วันที่ลูกใครบางคนลืมตาดูโลก.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

มีคำตอบ! รัฐบาลอนุทินมี ‘ศุภจี‘ เป็นจุดเด่น ทำไมปล่อยให้มี ’ธรรมนัส’ เป็นจุดอ่อน

คุณศุภจีคือตัวแทนของ "ภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ" ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ดึงดูดชนชั้นกลางและคนเมือง และเป็นเกราะป้องกันทางการเมือง เมื่อฝ่า

ขนลุก! กูรูใหญ่ สาปแช่งพรรคเพื่อไทย หลังข่าวซูเอี๋ยพรรคส้ม

ความคิดที่เพื่อไทยและประชาชนจะจับมือกันตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งแล้วเลื่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือท่าดีทีล้มละลายทางการเมือง

‘โบว์ ณัฏฐา’ ชี้ภาพเลือกตั้งเริ่มชัด เหลือสองพรรคที่ขยับขึ้นมาเด่น

“โบว์ ณัฏฐา” วิเคราะห์แนวโน้มจากโพลชุดล่าสุด ระบุศูนย์กลางการแข่งขันเริ่มขยับเหลือสองพรรคที่โดดขึ้นมา ขณะที่เพื่อไทยถูกทิ้งระยะ แม้คนยังไม่ตัดสินใจมีจำนวนมาก แต่สุดท้ายก็ต้องเลือกระหว่างตัวเลือกที่เด่นที่สุดในตอนนี้

ดร.ณัฏฐ์ ผ่าเกมการเมืองสามก๊ก ชิงยุบสภาแก้รัฐธรรมนูญเป็นหมันทันที

สืบเนื่องจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีได้ออกมาโต้ตอบทางการเมืองในเชิงหากฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทยไม่รอ แต่ญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ