ระบอบทักษิณไม่เคยเลือนหายจากโครงสร้างการเมืองไทย แม้ในบางช่วงจะถูกทอนกำลังลงจากกระบวนการทางกฎหมายและบทบาทขององค์กรอิสระ และศาลในนาม ตุลาการภิวัฒน์ แต่เครือข่ายฐานเสียงและกลไกอำนาจที่วางรากลึกไว้นั้น ยังคงดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง
การรัฐประหารปี 2549 เป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่ทำให้ ทักษิณ ชินวัตร ต้องสูญเสียตำแหน่ง แต่ไม่ได้ทำให้อำนาจและเครือข่ายความนิยมและผลประโยชน์ทางการเมืองที่วางไว้หายไปจากระบบ
การกลับมาเมืองไทยของทักษิณในปี 2566 ไม่ใช่แค่การคืนถิ่นฐาน แต่เป็นสัญญาณการฟื้นคืนอำนาจผ่าน รัฐบาลลูกสาว คือ แพทองธาร ชินวัตร พร้อมพรรคเพื่อไทยในสภา และพันธมิตรการเมืองที่เริ่มกลับมาประสานกันอีกครั้ง
เมื่อภาพรวมของ ระบอบทักษิณ เริ่มแข็งแรงอีกครั้ง ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการขยายตัวของอำนาจนี้ จึงเริ่มเคลื่อนไหวใหม่ จากที่เน้นการต่อสู้บนท้องถนน วันนี้มุ่งสู่ “สนามกฎหมาย” เป็นสมรภูมิสำคัญในการสกัดเส้นทางอำนาจระบอบทักษิณ
หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่หยิบมาใช้ คือ มาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งเป็นมาตราการควบคุมการพิจารณางบประมาณที่เข้มข้นที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
มาตรา 144 วางกรอบชัดเจนว่า
“ห้ามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมาธิการ หรือคณะรัฐมนตรี เปลี่ยนแปลงงบประมาณเว้นแต่ในทางลดหรือตัดทอน และห้ามแตะต้องรายจ่ายที่เป็น
(1) เงินส่งใช้ต้นเงินกู้
(2) ดอกเบี้ยเงินกู้
(3) เงินที่กฎหมายกำหนดให้จ่าย”
หากมีการฝ่าฝืนข้อห้ามนี้ บทลงโทษสูงสุดถึงขั้นให้พ้นจากตำแหน่ง เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง และถูกเรียกเงินคืนภายใน 20 ปี
คดีที่กำลังสั่นสะเทือนการเมืองในปี 2568 เริ่มต้นจากการที่รัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน มีมติปรับลดงบประมาณ 35,000 ล้านบาท จากงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 5 แห่ง ซึ่งเป็นเงินกู้ตามข้อผูกพันตามกฎหมายการเงินการคลัง
เงินก้อนนี้ ถูกโยกมาเป็นงบกลาง เพื่อใช้ในโครงการ ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
ต่อมา เมื่อรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร รับช่วงบริหารประเทศต่อ งบกลางดังกล่าวก็เริ่มถูกเบิกจ่ายจริงเพื่อนำไปใช้ตามแผนเศรษฐกิจ
การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ของเงินกู้ที่มีข้อผูกพันตามกฎหมาย จึงกลายเป็นหัวข้อสำคัญที่ ฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณ หยิบยกขึ้นมาท้าทายผ่านมาตรา 144
วันที่ 25 เมษายน 2568 ชาญชัย อิสระเสนารักษ์, สมชาย แสวงการ, เจษฎ์ โทณะวณิก และ นิติธร ล้ำเหลือ ได้ร่วมกันยื่นคำร้องต่อ คณะกรรมการป.ป.ช. เพื่อขอให้สอบสวนกรณีที่อาจมีการกระทำฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญในเรื่องการจัดทำและแปรญัตติงบประมาณดังกล่าว
กลุ่มผู้ยื่นคำร้องทั้งสี่คนนี้ ล้วนมีบทบาทในแนวต้านระบอบทักษิณมาอย่างยาวนานทั้งในบทบาทของนักการเมือง นักกฎหมาย และนักเคลื่อนไหวภาคประชาชน
นอกจากการต่อต้าน โครงการดิจิทัลวอลเล็ต แล้วพวกเขายังมีบทบาทชัดเจนในการคัดค้าน ร่างกฎหมายเปิดทางให้ตั้งกาสิโนถูกกฎหมาย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเรือธงของรัฐบาลชุดแพทองธาร
ยุทธศาสตร์ของฝ่ายต่อต้านในครั้งนี้ จึงเป็นการ เดินเกมคู่ขนานระหว่าง การปลุกกระแสมวลชน และการใช้กลไกทางกฎหมาย เพื่อบีบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง
คำร้องที่ยื่นต่อป.ป.ช.ในครั้งนี้ มิได้จำกัดเป้าหมายแค่รัฐบาลเท่านั้นแต่ขยายไปถึงฝ่ายนิติบัญญัติทั้ง สส. 309 คน, สว. 175 คน และ กรรมาธิการงบประมาณ 72 คน ที่มีส่วนร่วมในการผ่านร่างงบประมาณฉบับที่มีการเปลี่ยนแปลงผิดหลักการ
มาตรา 144 วรรคท้าย กำหนดให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีอำนาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง หากเห็นว่ามีมูลความผิด และเมื่อ ศาลรัฐธรรมนูญ รับเรื่องไว้แล้ว จะดำเนินการไต่สวนและวินิจฉัยตามกระบวนการที่กำหนดในรัฐธรรมนูญโดยตรง
อดีตได้พิสูจน์แล้วว่า กระบวนการยุติธรรมทางการเมืองสามารถเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจได้จริง แต่กรณีมาตรา 144 ครั้งนี้ มีโอกาสกวาดล้างเครือข่ายการเมืองที่เกี่ยวพันกับระบอบทักษิณได้กว้างไกลกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลลูกสาว พยายามอธิบายว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ตมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรากหญ้า ไม่ใช่เพื่อแสวงหาประโยชน์ทางการเมือง
แต่แนวทางการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในอดีต ให้ความสำคัญสูงสุดกับข้อเท็จจริงและตัวบทกฎหมาย ไม่ใช่เจตนาหรือความนิยมจากประชาชน
ดังนั้น หากพบการตัดลดงบเงินกู้ซึ่งรัฐธรรมนูญห้ามแตะต้องไม่ว่าจะด้วยเหตุผลเพื่อประโยชน์สาธารณะเพียงใด ก็ไม่อาจทำให้การกระทำนั้นชอบด้วยกฎหมายได้
วันนี้ ระเบิดเวลามาตรา 144 ถูกตั้งเวลาไว้ในมือของป.ป.ช.เรียบร้อยแล้ว การตัดสินใจว่าจะส่งเรื่องเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ ส่งผลสะเทือนต่อรัฐบาลลูกสาวของทักษิณ และเครือข่ายการเมืองที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน
หากศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องและมีคำวินิจฉัยว่าฝ่าฝืนจริง ผลกระทบจะกวาดล้างไม่เฉพาะรัฐบาล แต่ยังรวมไปถึงสส. สว. และนักการเมืองในเครือข่ายที่เกี่ยวข้องด้วย
ระเบิดเวลาลูกนี้ไม่ได้รอการจุดชนวนจากท้องถนนอีกต่อไป แต่มันรอเพียงการตัดสินตามตัวบทกฎหมายที่จะเปลี่ยนฉากการเมืองไทยทั้งฉากในพริบตาเดียว!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บ้านใหญ่กวาดเรียบ เลือกตั้ง‘นายกเล็ก-สท.’ ปชน.หมดสภาพพ่ายยับ
ประธาน กกต.ตั้งเป้าใช้สิทธิ 70% เผยมีคดีร้องเรียนแล้ว 352 เรื่อง “ระพีพงษ์”
เปิดเบื้องลึกประชุมแพทยสภา ชี้ อนุฯเสนอลงโทษหมอ 4 คน
แพทยสภานัด12 มิ.ย. รอ”สมศักดิ์”วีโต้หรือเอาด้วย เผย อนุกรรมการสอบสวนเสนอลงโทษหมอ 4 คน แต่คนที่ 4 รอด หลังปิดห้องถกสามชั่วโมง สุดท้าย เอาผิด3 คน
ดิเรกฤทธิ์ จี้เอาผิดผู้ร่วมขบวนการช่วย ‘ทักษิณ’ ชั้น 14
นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม อดีตสว. เปิดเผยถึงกรณีชั้น 14 รพ.ตำรวจว่า
‘เทพไท’ จี้ อุ๊งอิ๊ง รับผิดชอบคดีชั้น 14 ย้ำเจ้าตัวรู้เรื่องดี
นายเทพไท เสนพงษ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเพจ เทพไท - คุยการเมือง ระบุว่า คดีชั้น14 อุ๊งอิ๊ง รู้เรื่องดี ต้องรับผิดชอบ!!!
ลงดาบหมอ-ศาลเรียกแจงปมชั้น14 กลิ่นแปลกสัญญาณลบ‘ทักษิณ’?
บริบทการเมืองวันนี้เริ่มถูกตั้งคำถามว่า ความขัดแย้งยังจำกัดวงอยู่แค่ภายในพรรคร่วมรัฐบาลระหว่าง สีแดง พรรคเพื่อไทย กับ สีน้ำเงิน พรรคภูมิใจไทย อยู่หรือไม่
'โรม' ยก 3 ข้อ ทักษิณชั้น 14 ใช้ 'ดีลปีศาจ' ทำลายกระบวนการยุติธรรมย่อยยับ
นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า เห็นหลายคนออกมาโต้ว่า ไม่ต้องวิกฤตก็สามารถไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจได้ เพราะเป็นการป่วยเฉพาะทาง บลาๆ การออกมาโต้แบบนี้ ยิ่งย้ำว่า