แฟ้มภาพ
ในวันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปี รัฐบาลจะจัดงานวันแรงงานอย่างยิ่งใหญ่มีคำสดุดีแรงงาน มีดอกไม้ช่อใหญ่ให้ผู้นำสหภาพ มีคำสัญญาเรื่องการปรับค่าจ้างแต่เมื่อพิธีจบลง แรงงานก็กลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม
พวกเขายังต้องตื่นตีห้า เข้างานหกโมงเช้า กลับบ้านสองทุ่ม ยังต้องยืนสิบชั่วโมงในโรงงาน ยกของหนักในโกดัง ส่งอาหารกลางฝน ยังใช้แรงกายทั้งชีวิตแลกกับรายได้แค่พอไม่อดตาย
ในปี 2568 ประเทศไทยมีการประกาศปรับค่าจ้างขั้นต่ำล่าสุด โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา อัตราสูงสุดอยู่ที่ 400 บาท/วัน ในจังหวัดชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ภูเก็ต และอำเภอเกาะสมุย
ในขณะที่ อัตราต่ำสุดยังอยู่ที่ 337 บาท/วัน สำหรับ 3 จังหวัดชายแดนใต้-นราธิวาส ปัตตานี และยะลา
ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้ 372 บาท/วัน ครอบคลุมถึงนนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ นครปฐม และสมุทรสาคร แต่ในหลายจังหวัด เช่น พะเยา มุกดาหาร ตาก ลำพูน ฯลฯ ยังคงอยู่ที่ 345–360 บาท โดยเฉลี่ย
แรงงานในจังหวัดเหล่านี้ จึงยังใช้ชีวิตภายใต้รายได้ที่แทบไม่เปลี่ยนแปลงจากเมื่อหลายปีก่อน
ค่าครองชีพกลับไม่หยุดรอใครเลย ข้าวแกงจานละ 50 บาท น้ำมันลิตรละ 35 บาท ค่าโดยสารเริ่มต้น 15 บาท แต่ค่าแรงกลับนิ่งเหมือนติดอยู่อีกยุคหนึ่ง
รัฐบาลพูดถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจทุกไตรมาส แต่ไม่เคยพูดว่าแรงงานต้องกู้หนี้สหกรณ์เพื่อจ่ายค่าเทอมลูกและต้องผ่อนพัดลม 0% 10 เดือน เพราะเงินเดือนจ่ายสดไม่ได้
แรงงานไทยจำนวนมากไม่มีวันหยุด ไม่มีโบนัส ไม่มีประกันชีวิต ทำงานวันไหนได้ค่าจ้างวันนั้น เจ็บป่วยวันไหนก็ไม่มีรายได้ พวกเขาอยู่ในระบบที่ให้แค่ “ชีวิตขั้นต่ำ” ไม่ใช่ “ชีวิตที่ควรได้”
แรงงานนอกระบบกว่า 20 ล้านคนคือกลุ่มที่ไร้สิทธิโดยสมบูรณ์ ไม่มีนายจ้างในเอกสาร ไม่มีสวัสดิการ ไม่มีอะไรยืนยันว่ามีตัวตน แม้จะเป็นคนก่ออิฐ ปูกระเบื้อง เก็บผัก ส่งของทั้งประเทศ
ชีวิตแรงงานไม่ได้มีวงจรเจริญเติบโต มีแค่วงจรเอาตัวรอด ทำงาน–จ่ายหนี้–ส่งลูกเรียน–รักษาตัว–เริ่มใหม่ ไม่มีการสะสมทุน ไม่มีช่องว่างให้พัก ไม่มีเวลาได้หยุดคิด
คำว่า ค่าจ้างขั้นต่ำ กลายเป็นกับดักที่ขังแรงงานไว้ในความยากจน รัฐบาลบอกว่ากลัวขึ้นแรงแล้วกระทบธุรกิจ แต่นั่นแปลว่าความอยู่รอดของแรงงาน ต้องแลกกับความพอใจของทุน
คณะกรรมการไตรภาคีที่กำหนดค่าจ้างก็มีเสียงแรงงานเป็นเพียงเสียงน้อย นายจ้างมักชูเหตุผล “ต้นทุนสูง” ขึ้นมาหักล้างเสมอ แต่ไม่มีใครยกมือถามว่า ชีวิตของคนที่ทำงานให้คุณ ถูกแค่ไหนถึงจะเรียกว่าคุ้ม?
แรงงานบางคนทำงานมา 10 ปี เงินเดือนเพิ่มขึ้นไม่ถึง 1,000 บาท ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ ไม่มีบำนาญ ไม่มีสวัสดิการลูกหลาน ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงได้โบนัสปีละ 3–5 ล้านบาท โดยไม่ต้องเข้างาน 6 โมงเช้า
ช่องว่างระหว่างแรงงานกับเจ้าของทุนกว้างขึ้นทุกปี แรงงานจ่ายภาษีทุกเดือนแบบหัก ณ ที่จ่าย แต่เจ้าของทุนสามารถวางแผนภาษีเพื่อลดภาระจนแทบไม่เสียอะไรเลย
ในหลายประเทศที่รัฐเห็นคุณค่าของแรงงาน เริ่มขยับจาก “ค่าจ้างขั้นต่ำ” สู่ “ค่าจ้างเพื่อการยังชีพ” (Living Wage) แต่ในไทย คำว่า “ยังชีพ” ยังถูกแปลว่า “อยู่ให้ได้ ไม่ต้องดี”
สภาพแรงงาน จึงเป็นเงาสะท้อนความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างของประเทศนี้ในขณะที่คนบางกลุ่มโตบนกำไรจากแรง แต่เจ้าของแรงกลับโตแค่หนี้ที่เพิ่มขึ้น
แรงงานไม่ได้อยากร่ำรวย แต่เขาอยากมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ต่ำกว่าสถานะพลเมือง อยากมีสิทธิ์ลาป่วยโดยไม่ถูกหักเงิน อยากมีวันหยุดโดยไม่ต้องรู้สึกผิด อยากตื่นขึ้นมาโดยไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีงานทำ
แรงงานไม่ได้อยากเป็นเจ้าของกิจการ แต่ไม่ควรถูกปฏิบัติเหมือนเบี้ยล่างของระบบ เพราะทุกตึก ทุกถนน ทุกห้างร้าน ทุกการขนส่ง ทุกฟาร์ม ทุกโรงงาน ล้วนมีมือของแรงงานเป็นรากฐาน
แต่มือของพวกเขากลับไม่เคยได้จับอนาคตของตัวเองเลย
รัฐบาลไทยไม่เคยให้แรงงานมีส่วนร่วมในนโยบายระดับโครงสร้าง ไม่มีตัวแทนแรงงานในคณะรัฐมนตรี ไม่มีตำแหน่งกำหนดนโยบายที่เสียงแรงงานมีน้ำหนัก
แม้แต่ในรัฐธรรมนูญ คำว่าแรงงานยังปรากฏเพียงไม่กี่วรรค ทั้งที่ในชีวิตจริง คนกลุ่มนี้เป็นร้อยละ 60 ของประชากรวัยทำงาน
วันแรงงานจึงกลายเป็นเพียงวันพูดสวย วันจับมือ วันถ่ายภาพแต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในวันถัดไป ไม่มีการขยับนโยบาย ไม่มีการปฏิรูปกฎหมาย ไม่มีใครรับผิดชอบเรื่องค่าจ้างล้าหลัง
แรงงานอาจไม่ใช่ “กระดูกสันหลังของชาติ” แบบที่เราเคยยกย่องชาวนา แต่พวกเขาคือ มือที่ค้ำยันเศรษฐกิจไม่ให้ล้ม คือ หลังที่รับภาระโดยไม่เคยได้หยุดพัก และคือ เท้าที่เดินผ่านน้ำหนักทั้งหมดของประเทศนี้โดยไม่เคยได้หยุดเดิน
หากประเทศจะเดินหน้าต่อไปได้จริง ก็ถึงเวลาที่ต้องหยุดลืมแรงงานเสียที เหงื่อที่พวกเขาแลกมาควรกลายเป็นศักดิ์ศรี ไม่ใช่ของเสียที่ระบบลืมซับ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อดีตผู้พิพากษา' อธิบาย 'ปิดงานงดจ้าง' กับ 'หยุดกิจการ' เหตุข้อพิพาทแรงงาน 'ไดกิ้น '
นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ปิดงานงดจ้างกับหยุดกิจการ มีเนื้อหาดังนี้
'สส.ปชน.' จี้ ก.แรงงาน ต้องไกล่เกลี่ยข้อพิพาท นายจ้างไดกิ้น 'ปิดงาน' หาข้อยุติโดยเร็ว
นายเซีย จำปาทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก กรณีเกิดข้อพิพาทระหว่างบริษัท ไดกิ้น กับสหภาพแรงงานฯ ว่า นายจ้างไดกิ้น “ปิดงาน” กระทรวงแรงงานต้องประสานไกล่เกลี่ยหาข้อยุติโดยเร็ว
วิกฤตขาดแรงงาน! จี้รัฐบาลเปิดตัวเลข
ควันหลงไทยรบเขมร แรงงานขาดอย่างหนัก! นักวิชาการจี้ “กระทรวงแรงงาน-ตม.” เร่งสำรวจตัวเลขแรงงานกัมพูชากลับภูมิลำเนา เพื่อให้ทราบขนาดของปัญหาที่แท้จริง
นำเข้า 'แรงงานศรีลังกา' ไม่ตอบโจทย์! นักวิชาการ มธ. แนะทางออกทดแทนกัมพูชากลับภูมิลำเนา
นักวิชาการธรรมศาสตร์ จี้ “กระทรวงแรงงาน-ตม.” เร่งสำรวจตัวเลขแรงงานกัมพูชากลับภูมิลำเนา เพื่อให้ทราบขนาดของปัญหาที่แท้จริง หลังพบผู้ประกอบการภาค “ก่อสร้าง-ประมง-เก็บผลไม้” ได้รับผลกระทบจนกิจการต้องหยุดชะงักเพราะไม่มีคนทำงาน วิพากษ์มาตรการของรัฐบาล
‘รมว.แรงงาน’ ย้ำชัดปีนี้ไม่มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแล้ว
"พงศ์กวิน" บอก ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งต่อไปปีหน้าเลย อ้าง ปีนี้ขึ้น 2 รอบแล้ว
สส.เซีย อัดรมว.แรงงาน ปรับค่าแรงขั้นต่ำแบบเต่าย่อง
นายเซีย จำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายว่า ขณะนี้ปัญหาสินค้าแพงขึ้นทุกอย่าง แต่ค่าจ้างขั้นต่ำปรับขึ้นช้าเป็นเต่าย่อง ต่ำสุดอยู่ที่ 337 บาท


