112 ในสมรภูมิความขัดแย้ง: อาวุธของคนถืออำนาจ-เป้าของคนอยากรื้อราก

คดีที่อัยการภาค 6 มีคำสั่ง “ไม่ฟ้อง ดร.พอล แชมเบอร์ส” ไม่เพียงแต่กลายเป็นข่าวใหญ่ในแวดวงสิทธิเสรีภาพเท่านั้น แต่ยังเป็น กระจกสะท้อนปัญหาหลักของสังคมไทย ว่าข้อถกเถียงเรื่อง ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ไม่ได้อยู่ที่ตัวบทกฎหมาย แต่อยู่ที่คนทั้งสองฝ่ายที่ใช้ “112” เป็นเครื่องมือ

ฝ่ายหนึ่ง ใช้มันเป็นเครื่องมือบังคับ ไล่ล่า หวังผลทางการเมือง อีกฝ่ายหนึ่ง ใช้มันเป็น ข้ออ้างในการเคลื่อนไหวเพื่อบ่อนทำลายสถาบันหลักของชาติ

คดี ดร.พอล เริ่มต้นจากการแจ้งความโดย พ.อ.มงคล วีระศิริ ซึ่งใช้ ช่องทางกฎหมาย กล่าวหาว่า ดร.พอล หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตาม มาตรา 112

แม้ตำรวจมี ความเห็นสั่งฟ้อง แต่คณะทำงานร่วมของ สำนักงานอัยการสูงสุด พิจารณาแล้วเห็นว่า “ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ” และมีคำสั่งไม่ฟ้อง พร้อมเสนอศาลให้ออกหมายปล่อย

คำสั่งนี้มีความหมายในเชิงนิติศาสตร์อย่างลึกซึ้ง เพราะแสดงให้เห็นว่า กฎหมายนี้มีด่านกลั่นกรอง และ การใช้ต้องผ่านกระบวนการไต่ตรอง ไม่ได้เป็นเครื่องมือปิดปากประชาชนเสมอไป

สิ่งที่หลายคนมองว่า “112 เป็นกฎหมายอันตราย” จึงต้องถูกแยกแยะให้ชัดระหว่าง “กฎหมาย” กับ “การบังคับใช้กฎหมาย”

ถ้าตำรวจไม่เร่งรีบรับแจ้งทุกกรณี ที่อ้างว่าเข้าข่าย 112 และมี การพิจารณาเบื้องต้นอย่างเป็นธรรม คดีจำนวนไม่น้อยจะไม่กลายเป็นภาระของศาลและอัยการ

แต่อีกด้านหนึ่ง เมื่อฝ่ายรัฐปล่อยให้ เจ้าหน้าที่ระดับต้นเล่นเกมไล่ล่า โดยไม่ใช้วิจารณญาณ สังคมจึงเกิด ความหวาดระแวงต่อกฎหมายนี้

นี่คือ “รอยรั่วของกระบวนการ” ที่ไม่ควรโยนบาปให้ตัวบทกฎหมายโดยตรง

เพราะสุดท้ายแล้ว การสั่งไม่ฟ้องในกรณีนี้คือหลักฐานชัด ว่า 112 ไม่ใช่กฎหมายที่ใช้ปราบปรามคนเห็นต่างได้โดยไม่มีดุลยพินิจ

แต่ขณะเดียวกัน เราก็ต้องมองอีกด้านที่เงียบแต่แรงไม่แพ้กัน นั่นคือ กลุ่มเคลื่อนไหวที่พยายามใช้วาทกรรมสิทธิมนุษยชน “ล้อมกรอบ” กฎหมายมาตรา 112 เพื่อบ่อนเซาะ ความศรัทธาที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

เป้าหมายของกลุ่มนี้ไม่ใช่แค่การแก้ไขหรือยกเลิก 112 อย่างตรงไปตรงมา หากแต่เป็นการใช้ 112 เป็น สัญลักษณ์ เพื่อโยง ทุกปัญหาในประเทศไปยังสถาบันกษัตริย์

และนั่นคือ การย้ายสนามการเมืองไปสู่สนามที่ไม่มีใครแตะต้องได้ โดยไม่มีราคาที่ต้องจ่าย

ต้องยอมรับตรงๆ ว่าขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านสถาบันในยุคนี้ ไม่เดินขบวนกลางถนน ไม่โบกป้ายหน้าศาล แต่ใช้ “โซเชียลมีเดีย” เป็นสนามหลักในการสื่อสาร เพื่อปั้นวาทกรรม กัดเซาะความศรัทธา และขยายผลสู่กลุ่มเปราะบางทางความคิด

ด้วยวิธีที่ซับซ้อนขึ้น ทำให้มาตรา 112 กลายเป็น เวทีต่อสู้ “เชิงสัญลักษณ์” ที่ไม่ต้องการข้อกฎหมายเป็นหลักฐานอีกแล้ว แต่ใช้ “ความรู้สึกผิดชอบ” ของคนรุ่นใหม่ เป็นอาวุธโจมตี ศูนย์รวมจิตใจของประเทศ

ในเมื่อ 112 ถูกเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนบังคับใช้อย่างผิดทิศผิดทาง และถูกฝ่ายต่อต้านหยิบไปใช้เป็น เครื่องมือปลุกปั่น โดยไร้เจตนาแก้ไขอย่างสร้างสรรค์ สิ่งที่เรากำลังเผชิญจึงไม่ใช่แค่ความขัดแย้งทางกฎหมาย แต่คือ การแย่งชิง “กรอบนิยามความชอบธรรม” ของสถาบันหลักในสังคมไทย

ถ้าเราไม่ ถอดรหัสการต่อสู้นี้ให้ชัด เราจะติดกับอยู่ใน วงจรความขัดแย้ง ที่เปลี่ยนฉาก เปลี่ยนตัวแสดง แต่ยังใช้บทเดิม คือ ยกกฎหมายขึ้นมาปลุกปั่นความแตกแยก

ดังนั้น ทางออกของเรื่องนี้ไม่ใช่การเรียกร้องให้แก้ไข หรือปกป้องกฎหมายแบบสุดขั้ว แต่ต้องเริ่มจาก การกลั่นกรองคนที่ใช้อำนาจในการใช้กฎหมาย

เจ้าหน้าที่ตำรวจควรกลั่นกรองมากกว่ารับแจ้งทุกคดี อัยการควร ยึดหลักกฎหมายไม่ใช่กระแสสังคม และ สื่อควรเสนอข้อเท็จจริงมากกว่าปั้นวาทกรรม

ในเวลาเดียวกัน กลุ่มที่เรียกร้องการยกเลิกกฎหมาย ควรชี้ให้เห็นชัด ว่า หากไม่มี 112 แล้วจะ ปกป้องความมั่นคงของสถาบันอย่างไร ไม่ใช่ใช้คำว่า ประชาธิปไตยเป็นเครื่องอำพราง

เพราะ ประชาธิปไตยที่ไม่มีศูนย์รวมใจของชาติ คือ โครงสร้างที่ไม่มีเสา และจะพังทลายลงด้วยเสียงคนกลุ่มน้อยที่ตะโกนดังกว่าคนส่วนใหญ่

112 จึงไม่ใช่ปัญหา หากเราไม่ใช้มันเป็นอาวุธ และไม่พยายามถอดถอนมันเพื่อเปิดทางให้ อาวุธอีกชนิดเข้ามาโจมตีสถาบันที่เป็นรากของชาติ

แต่เมื่อ สองฝ่ายยังคงใช้มันเป็นเครื่องมือ เราก็ต้องเตรียมใจรับมือกับ ความขัดแย้งที่ไม่มีวันสงบ

ประชาธิปไตยไทยจะไปต่อได้ ถ้าทุกฝ่ายยอมรับว่า การมีเสรีภาพ ต้องไม่แลกกับการสูญเสียสัญลักษณ์ที่รวมจิตใจคนทั้งแผ่นดิน

และหากจะพูดให้ตรง 112 ไม่ใช่ศัตรูของใครเลย ศัตรูที่แท้จริง คือคนที่ใช้มันเพื่อกด และคนที่จ้องล้มมันเพื่อพัง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

พูดแบบนี้ได้ยังไง! อดีตลูกจ้างวอยซ์ ลั่นไม่เห็นใจทักษิณ หลังคดี 112 ถูกอุทธรณ์

อินฟลูเอนเซอร์สายการเมือง และอดีตพิธีกรข่าววอยซ์ทีวีของตระกูลชินวัตร แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อออนไลน์ หลังอัยการสูงสุดยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 ข

ด่วน! ศาลสั่งจำคุก 'สส.ลูกเกด' 4 ปี ลดโทษเหลือ 2 ปี 8 เดือน ไม่รอลงอาญา ดูหมิ่นสถาบัน

ศาลอาญาสั่งจำคุก 4 ปีลูกเกด สส.ปชน.ดูหมิ่นสถาบัน ศาลปรานีลดโทษ 1ใน 3 เหลือจำ 2 ปี 8 เดือน ไม่รอลงอาญา ทนายเตรียม ยื่นประกัน ระหว่างอุทธรณ์

'โตโต้' รอด! ศาลอาญายกฟ้อง คดี 'ม.112-พ.ร.บ.คอมพ์ฯ' ยันไม่ฟ้องกลับ แต่ขอให้เป็นบทเรียนสังคม

นายปิยรัฐ จงเทพ สส.กทม. พรรคประชาชน เดินทางมาที่ศาลอาญา รัชดาภิเษก กรณีศาลอาญานัดฟังคำพิพากษา ในคดีดูหมิ่นสถาบันฯ ห

พรุ่งนี้ปล่อยตัว! 'อัญชัญ ปรีเลิศ' สิ้นสุดการติดคุกคดี ม.112 นาน 8 ปี 4 เดือน 19 วัน

เพจศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เผยว่า พรุ่งนี้ ! ปล่อยตัว “อัญชัญ ปรีเลิศ” สิ้นสุดการคุมขังคดี ม.112 นาน 8 ปี 4 เดือน 19 วัน