เมื่อคำว่า “กองทัพส้นตีน” ถูกตะโกนใส่แผลสดของชาติ อารมณ์ของสังคมจึงไม่อาจนิ่งเฉยอีกต่อไป มันเคลื่อนและพาแนวโน้มทางการเมืองเคลื่อนตาม พรรคที่เคยยืนหนึ่งในวาทกรรม กลับกำลังลื่นหลุดจากใจประชาชน ด้วยคำพูดที่หยามเกียรติคนตายในสนามรบ
เหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชาซึ่งส่งผลให้ทหารไทยเสียชีวิตหลายนาย กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ อารมณ์สาธารณะเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วและทรงพลัง ไม่ใช่เพียงเพราะเรื่องความมั่นคงหรือความสูญเสีย หากแต่เป็นเพราะ จุดยืนทางการเมืองของบางพรรค กลับขัดแย้งกับความรู้สึกร่วมของคนทั้งชาติในยามวิกฤต
พรรคประชาชน ซึ่งสืบทอดแนวทางจากพรรคก้าวไกลและอนาคตใหม่ เป็นพรรคที่ยืนบนยุทธศาสตร์ วิพากษ์กองทัพอย่างเป็นระบบ มาโดยตลอด ทั้งในมิติของโครงสร้างอำนาจ งบประมาณ ความโปร่งใส และบทบาทในการเมือง แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การวิจารณ์ หากอยู่ที่ วิธีการสื่อสารที่หยาบกระด้าง ไม่รู้จักกาลเทศะ และไม่อ่านอารมณ์ของชาติ
เมื่อเกิดการสูญเสียของทหารจากการปะทะ สมาชิกบางคนในพรรคกลับเลือกใช้ถ้อยคำอย่าง “กองทัพส้นตีน”, “อย่าเชื่อทหาร” หรือ “สิ่งแรกที่ถูกฆ่าในสงครามคือความจริง” คำเหล่านี้ไม่ได้เพียงสะท้อนความเป็นปฏิปักษ์ต่อกองทัพ แต่ กลายเป็นการดูแคลนผู้เสียสละ ในสายตาของประชาชนจำนวนมาก ที่ไม่ได้มีปัญหากับประชาธิปไตย แต่มีปัญหากับ “ภาษาที่ไร้หัวใจ”
แรงกระแทกกลับที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่เสียงจากฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง แต่ยังมาจาก ประชาชนจำนวนหนึ่งที่เคยเชื่อในพรรคนี้ พวกเขาเริ่มตั้งคำถามว่า “หรือฝ่ายประชาธิปไตยไม่สามารถให้เกียรติคนตายในสนามรบได้เลยหรือ?” จุดที่พรรคเคยได้เปรียบในสนามอุดมการณ์ กำลังกลายเป็นจุดที่สะดุดในสนามอารมณ์
และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนยุค ยุคที่ อารมณ์นำการเมือง และพรรคใดอ่านอารมณ์ผิด ย่อมต้องชำระราคาอย่างไม่มีข้อแม้
แรงสะเทือนจากถ้อยคำหยาบคายของ สส. พรรคประชาชน ไม่ได้แค่ย้อนกลับมาทำร้ายพรรคตัวเอง หากกำลังเป็นชนวนให้ ความรู้สึกของประชาชนจำนวนมากเริ่มโน้มเอียงไปสู่ฝ่ายที่พวกเขาเคยตั้งข้อรังเกียจ นั่นคือฝ่ายอนุรักษนิยม
เพราะในยามที่เลือดตก แผ่นดินถูกท้าทาย และทหารตายเพื่อชาติ ประชาชนจำนวนมากกลับพบว่า พรรคที่อ้างตนว่าอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย ไม่เพียงไม่แสดงความเคารพ หากยังใช้ภาษาที่เหยียดหยามอย่างชัดเจน แม้ในนามของหลักการ ความรู้สึกก็ไม่อาจยอมรับได้
อารมณ์เปลี่ยน ขั้วการเมืองจึงเริ่มเคลื่อน พรรคฝ่ายอนุรักษนิยมที่เคยตกเป็นเป้าโจมตี กลับเริ่มได้รับการมองใหม่จากประชาชน ว่าอย่างน้อยก็ ไม่ดูหมิ่นผู้เสียสละ และยังรักษาภูมิคุ้มกันทางวัฒนธรรมที่สังคมไทยให้คุณค่า
อย่างไรก็ตาม พรรคฝ่ายอนุรักษนิยมกลับไม่ขยับขึ้นมารับแรงหนุนนี้อย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปัตย์ รวมไทยสร้างชาติ พลังประชารัฐ หรือภูมิใจไทย ต่างก็ ติดกับเกมประคองฐานเดิม ปล่อยให้กระแสอารมณ์ของประชาชนไหลผ่านไปอย่างน่าเสียดาย
ทั้งที่สถานการณ์กำลังเรียกร้อง “คนปกป้องชาติ” อย่างชัดเจน พรรคฝ่ายอนุรักษนิยมกลับ ลังเล สงวนท่าที และบางพรรคถึงขั้นเลือกยืนผิดฝั่งต่อหน้าความรู้สึกของประชาชน
ประชาธิปัตย์และรวมไทยสร้างชาติ แม้จะมีภาพจำว่าเป็นพรรคที่ “อยู่ข้างชาติ” แต่ในทางปฏิบัติกลับ ร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย อย่างไม่ลังเล-พรรคของตระกูลชินวัตร ที่มีทักษิณ อยู่เบื้องหลัง และมีบุตรสาวเป็นทั้งหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน ซึ่งกำลังถูกจับตาว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับต้นตอของสาเหตุการปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา
พรรคเพื่อไทยจึงกลายเป็นภาระที่ พรรคร่วมรัฐบาลฝ่ายอนุรักษนิยมไม่สามารถตัดขาดได้ง่ายๆ และยิ่งทำให้พรรคเหล่านั้น ไม่กล้าออกมายืนข้างประชาชน แม้จะมีแรงส่งทางอารมณ์ให้ก้าวออกมา
ขณะที่ฝ่ายค้านอย่าง พรรคภูมิใจไทย และ พลังประชารัฐ ซึ่งก็มีจุดยืนในแนวทาง อนุรักษนิยม เช่นกัน กลับยัง นิ่งเฉยอย่างผิดสังเกต ทั้งที่สถานการณ์ในขณะนี้ เปิดช่องให้ทั้งสองพรรคสามารถ สวมบท “ฝ่ายปกป้องแผ่นดิน” ได้อย่างเต็มภาคภูมิและชอบธรรม หากเพียงกล้าจะยืนรับกับอารมณ์ของสังคมที่กำลังพลุ่งพล่าน
แต่กลับไม่มีท่าทีใดที่สะท้อนความพร้อมนั้น ไม่ปรากฏการ ยกระดับวาทกรรมชาติ ไม่ปรากฏ ข้อเสนอเชิงนโยบาย ที่ตอบสนองต่อกระแส ชาตินิยมที่ไหลทะลักมาจากชายแดน เสียงสะท้อนที่พอมีอยู่บ้าง ก็เป็นเพียงความเห็นเฉพาะตัวของ สส.รายบุคคล หาใช่ จุดยืนของพรรค ที่ชัดเจนหรือเป็นเอกภาพไม่
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ปะทะชายแดน จึงไม่ใช่แค่การสั่นสะเทือนในระดับ “โครงสร้างพรรคการเมือง” เท่านั้น หากคือ การเคลื่อนย้ายขั้วของอารมณ์สาธารณะ ที่ไม่อาจถูกวัดด้วยโพลหรือกราฟคะแนนเสียง เพราะมันคือ การสลายตัวของความรู้สึกไว้วางใจ ที่เคยผูกติดอยู่กับพรรคฝ่ายประชาธิปไตย
พรรคที่อ้างตนว่าอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งเคยครองพื้นที่วาทกรรม ปลุกกระแส และสร้างความตื่นตัวในสังคม กำลังเริ่มสูญเสียพื้นที่ในใจประชาชน เพราะเมื่อคำว่า “ชาติ” ถูกรุกราน และมีคนล้มตายจากการปกป้องแผ่นดิน ผู้คนกลับเห็นเพียงคำพูดที่เหยียดหยาม มากกว่าความเข้าใจหรือให้เกียรติ
แม้พรรคประชาชนจะมีฐานคิดทางอุดมการณ์ที่ชัดเจน แต่จุดอ่อนร้ายแรงของพวกเขาในจังหวะนี้ ไม่ได้อยู่ที่หลักการ หากอยู่ที่การอ่านอารมณ์ของสังคมไม่ออกโดยสิ้นเชิง พวกเขาอาจเก่งเรื่องวิเคราะห์อำนาจ แต่ประมาทความรู้สึกของคนที่รักผืนแผ่นดิน
สังคมไทยอาจถกเถียงเรื่องการเมืองได้เสมอ แต่เมื่อมีภัยจากต่างแดน ความรู้สึกแรกที่ผุดขึ้นในใจคนไทย ไม่ใช่ “รัฐสวัสดิการ” หรือ “สิทธิพลเมือง” หากคือคำว่า “ชายแดน” “เลือดเนื้อ” และ “ผู้เสียสละ”
เมื่อถ้อยคำอย่าง “กองทัพส้นตีน”, “อย่าเชื่อทหาร”, หรือ “สิ่งแรกที่ถูกฆ่าในสงครามคือความจริง” ถูกโพสต์ออกมาท่ามกลางความสูญเสีย มันไม่ใช่เพียงการวิพากษ์ แต่มันคือ การดูหมิ่นความเจ็บปวดของชาติ
สังคมไทย แม้ให้อภัยความคิดต่างได้ แต่ ไม่เคยให้อภัยผู้ที่เหยียบย่ำความรู้สึกร่วมของคนหมู่มาก
แม้จะชัดเจนว่าความรู้สึกของสังคมเริ่มโน้มไปทางฝ่ายอนุรักษนิยม แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีพรรคการเมืองใดกล้าลุกขึ้นมาเป็นตัวแทนของกระแสดังกล่าวอย่างแท้จริง พรรคฝ่ายอนุรักษนิยมทั้งหมด ทั้งประชาธิปัตย์ รวมไทยสร้างชาติ พลังประชารัฐ และภูมิใจไทย ต่างก็ นิ่งเงียบเกินไปในจังหวะที่สังคมกำลังร้องขอจุดยืน
การเมืองไทยจึงตกอยู่ในภาวะที่ “อารมณ์ของประชาชนเคลื่อนไปข้างหน้า แต่พรรคการเมืองยังลังเลอยู่กับที่” ความกลัวจะ “สูญเสียสมดุลทางการเมืองที่เคยมี” ทำให้พรรคทั้งหมดยังไม่กล้าเปิดหน้าชน ไม่กล้ารับความรู้สึกที่พุ่งแรงขึ้นจากชายแดน
เหตุปะทะที่ชายแดน ไม่ได้เป็นเพียงบททดสอบของกองทัพ หากยังเป็นบทพิสูจน์ของพรรคการเมือง ว่า ใครเข้าใจหัวใจของแผ่นดิน และใครเพียงแค่ตะโกนเรื่องอุดมการณ์โดยไม่ฟังเสียงหัวใจประชาชน
พรรคที่เคยยืนหนึ่งในสนามวาทกรรม กลับสะดุดลงตรงหน้าคำพูดของตัวเอง เพราะเมื่อเลือดทหารยังไม่ทันแห้ง แต่ถ้อยคำเหยียดหยามกลับถูกโพสต์อย่างเยาะหยัน มันไม่ใช่เพียงความผิดพลาดทางการเมือง แต่มันคือ การแทงแผลสดของชาติด้วยปลายคีย์บอร์ด
อารมณ์ของประชาชนอาจเคลื่อนช้า แต่เมื่อเคลื่อนไปแล้ว ยากจะถอยกลับ และครั้งนี้มันได้เคลื่อนข้ามขั้วทางการเมืองอย่างชัดเจน ไม่ใช่เพราะนโยบาย แต่เพราะประชาชนเห็นว่า “ใครให้เกียรติคนที่ตายในสนามรบ” และ “ใครใช้คำหยามแผ่นดินเป็นเครื่องมือทางการเมือง”
นี่จึงไม่ใช่แค่การสะดุดในศึกวาทกรรม แต่คือ จุดเสื่อมอย่างเป็นระบบ ของพรรคที่ไม่รู้ว่า เสียงปรบมือในโซเชียล ไม่มีทางดังกว่าเสียงสะอื้นของชาติ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปิดด่าน 5 เดือน การค้าชายแดนคลองใหญ่เสียหาย 5 พันล้าน สินค้าเถื่อนทะลัก วอนรัฐบาลเยียวยา
เศรษฐกิจการค้าชายแดนคลองใหญ่ทรุดหนัก เสียหาย 5 พันล้าน ท่องเที่ยววูบปิดท่าเรือหนี ผู้ประกอบการจี้รัฐเยียวยา หลังปิดด่าน 5 เดือน ขณะสินค้าเถื่อนทะลักเข้า-ออก
🛑LIVE ร้องข้ามกำแพงคุก!! | ห้องข่าวไทยโพสต์
ร้องข้ามกำแพงคุก!! ห้องข่าวไทยโพสต์ : ประจำวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2568
'ไอติม' เลี่ยงยื่นซักฟอก ใช้กลไกอื่นตรวจสอบรัฐบาลแทน
'พริษฐ์' ปัดตอบยื่นซักฟอกรัฐบาล ขอใช้กลไกอื่นของสภาตรวจสอบเข้มข้นแทน เชื่อถกแก้ รธน. วาระ 2 จบภายใน 3 วัน นัดประชุมวิปฝ่ายค้านวางกรอบ 9 ธ.ค.
หยิกเล็บเจ็บเนื้อ! 'ภท.-พท.' โต้เดือดพัวพัน 'เบน สมิธ'
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า กรณีเบน สมิธ : ภูมิใจไทย-เพื่อไทย หยิกเล็บเจ็บเนื้อ
รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ
นายกฯ ลั่นหากเกิดเหตุชายแดนหลังยุบสภา รัฐบาลรักษาการยังมีอำนาจสนับสนุนเต็มที่
นายกฯ ย้ำไม่มีปัจจัยบอกเหตุ ก็ต้องมีแผนป้องกัน โดยเฉพาะตามแนวชายแดน มั่นใจผู้ว่าฯ ดูแลได้ หากอยู่ในช่วงยุบสภา ปฎิเสธข่าวการเจรจาที่ออตตาวาไม่เป็นผล


