ความคิดถึงที่ไม่เหมือนกัน: ลุงตู่ในสมองซีกขวาและหัวใจซีกซ้ายของการเมืองไทย

ในประเทศที่ผู้นำเปลี่ยนได้ แต่ความรู้สึกเปลี่ยนยาก “ลุงตู่” ยังติดอยู่ในสมองซีกขวาและหัวใจซีกซ้ายของการเมืองไทย บ้างคิดถึงเพราะสิ่งใหม่ไม่น่าไว้ใจ บ้างเจ็บเพราะเคยฝากความหวังไว้กับคนที่เปิดประตูให้ศัตรูเดินกลับมา ท่ามกลางรัฐบาลที่อ่อนแรงและพรรคใหม่ที่มีแต่คำใหญ่คำโต ประเทศไทยจึงยังติดอยู่ในวงกลมเดิม คนเก่าไม่หาย คนใหม่ไม่เกิด และอนาคตก็ยังไม่มา

แฟ้มภาพ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

ในประเทศที่ผู้นำมักกลายเป็นอดีตอย่างเงียบเชียบหลังพ้นอำนาจ ชื่อ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือที่เรียกติดปากว่า “ลุงตู่” กลับยังวนเวียนอยู่ในบทสนทนาทางการเมืองอย่างเหนียวแน่น

ไม่ใช่เพราะเจ้าตัวออกมาเคลื่อนไหว ไม่ใช่เพราะคำกล่าวแบบเผ็ดร้อนอย่างที่เคย หากเพราะชื่อของ “ลุงตู่” ยังปรากฏอยู่ใน “สมการ” ทางอารมณ์ของสังคม ที่ กำลังสั่นไหวกับปัจจุบัน และหวั่นไหวกับอนาคต

ช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งปีหลังวางมือจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ลุงตู่ได้รับแต่งตั้งเป็น องคมนตรี ขยับบทบาทจากผู้ใช้อำนาจฝ่ายบริหาร มาเป็นผู้รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท เป็นการล้างมือจากสนามการเมืองอย่างสมบูรณ์ในทางรูปธรรม

ทว่าในทางความรู้สึกของผู้คน กลับไม่ได้เกิด “ช่องว่าง” หากเกิด “เงา” ที่ยังปกคลุมทั้งฝ่ายรักและฝ่ายรังเกียจ

เพราะในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ทักษิณ ชินวัตร กลับประเทศไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปี และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างพลิกผัน โทษจำคุก 8 ปีถูกลดลงเหลือ 1 ปี และเปลี่ยนสถานะเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลทันทีโดยไม่ต้องผ่านเรือนจำ

แม้ทั้งหมดจะเป็นไปตามขั้นตอนที่กฎหมายเปิดช่องให้ แต่ผู้คนจำนวนหนึ่งก็จับจ้องไปที่ชื่อของอดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ “ผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ” ซึ่งเกี่ยวข้องกับการลดโทษในครั้งนั้น

ไม่มีใครกล่าวหาว่าทำผิดกฎหมาย ไม่มีใครตั้งคำถามต่อพระราชอำนาจ  แต่ “ร่องรอยความรู้สึก” ในสังคม กลับพาให้ชื่อของลุงตู่ผูกโยงเข้ากับภาพใหญ่ของประเทศที่กำลังวุ่นวาย ทั้งความอ่อนแอของรัฐบาลชุดใหม่ การไร้กลไกคัดกรองและต้านทานอำนาจเดิม และการกลับมาอย่างราบรื่นเกินคาดของเครือข่ายที่เขาเคยล้ม

และนั่นทำให้ชื่อของลุงตู่ ไม่อาจถูกจัดเก็บเข้ากรุในฐานะ “อดีต” ได้อย่างสมบูรณ์ เพราะในสมองของคนบางกลุ่ม ยังถูกนับว่า “มีค่า” ขณะที่ในหัวใจของอีกหลายคน ยังคง “คาใจ” ไม่หาย

แม้จะพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเกือบสองปีเต็ม แต่ ชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ “ลุงตู่” กลับปรากฏอยู่ในแทบทุกบทสนทนาการเมืองไทย ไม่ใช่เพราะเขาปรารถนาจะหวนคืนเวที แต่เพราะ หลายคนไม่เห็นใครที่ดีกว่า

ขณะที่ความนิยมของรัฐบาลใหม่ ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร กำลังสั่นคลอนด้วย ภาวะไร้เอกภาพ ไร้การตัดสินใจ และไร้ความชัดเจนด้านนโยบาย ชื่อของ บิ๊กตู่ ก็ย้อนกลับมาอีกครั้งในฐานะ “ความคุ้นเคย” ที่ยังพึ่งพาได้

ในโลกโซเชียลมีเดีย ชาวเน็ตบางส่วนเริ่มหยิบเอาเพลงเก่าอย่าง “ลุงตู่อยู่ไหน” กลับมาโพสต์และแชร์กันอีกครั้ง พร้อมคำบรรยายอย่าง “คิดถึงยุคที่ไม่ต้องมีพ่อบงการลูก” หรือ “อย่างน้อยลุงตู่ก็พูดเอง เดินเอง ไม่ใช่หุ่นเชิด”  เสียงสะท้อนเช่นนี้กำลังขยายตัวจากกลุ่มเล็กไปสู่สังคมวงกว้าง

ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้หลบหนีคดียาวนานอยู่ต่างแดน กลับมาอยู่เมืองไทยในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับการขึ้นดำรงตำแหน่งของบุตรสาว และแม้ไม่มีตำแหน่งในรัฐบาล แต่ก็ไม่มีใครสงสัยว่า “คนที่กดปุ่มควบคุม” อยู่เบื้องหลังคือนายทักษิณเอง

คนจำนวนมากจึงเริ่มเปรียบเทียบ ลุงตู่ที่พูดเอง คิดเอง ตัดสินใจเอง กับ นายกฯ หญิงคนปัจจุบันที่มีผู้สั่งการอยู่หลังม่าน จนเกิดเป็นความรู้สึก “คิดถึง” ไม่ใช่เพราะลุงตู่ดีเลิศ แต่เพราะ ผู้นำในวันนี้แย่เกินจะฝากอนาคต

และในขณะที่ผู้นำคนใหม่ถูกวิจารณ์ว่า ไม่มีพลังนำ ไม่มีอำนาจแท้จริง และกำลังทำให้ประเทศลื่นไถลลงสู่ความล้มเหลว  คนบางกลุ่มจึงเริ่มหวนมองกลับไปยัง “ยุคที่อย่างน้อยก็ยังมีคนจับพวงมาลัย” แม้อาจจะไม่ถูกใจทุกการตัดสินใจก็ตาม

สิ่งที่น่าสนใจกว่าคำวิจารณ์จากฝ่ายตรงข้าม คือ ความผิดหวังจากกลุ่มที่เคยสนับสนุนลุงตู่เอง  กลุ่มอนุรักษนิยมจำนวนไม่น้อยที่เคยยืนเคียงข้าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาตลอด กลับกลายเป็นกลุ่มที่ตั้งคำถามแรงที่สุดในวันนี้

ไม่ใช่เพราะเปลี่ยนขั้ว แต่เพราะยังยืนอยู่ที่เดิม ขณะที่อดีตผู้นำที่เคยฝากความหวังไว้ “วางมือ” โดยไม่เหลือแม้แต่กลไกป้องกันการหวนคืนของระบอบเดิม

การกลับมาของ เครือข่ายทักษิณ ที่รวดเร็วและไร้แรงต้าน รวมถึงการลดโทษคดีของอดีตศัตรูทางการเมืองที่เกิดขึ้นอย่างพลิกผัน และการถอยห่างออกจากเวทีโดยไม่มีแผนรับมือใด ๆ ล้วนทำให้ผู้สนับสนุนจำนวนหนึ่งรู้สึกว่าถูกทิ้งไว้กลางสนาม

คำถามที่เจ็บที่สุดจึงไม่ใช่เสียงจากฝ่ายตรงข้าม แต่คือเสียงภายในฟากฝั่งเดิมของ พล.อ.ประยุทธ์ เองว่า รักษาอำนาจไว้เกือบสิบปี เพื่อส่งต่อให้ระบอบเก่ากลับมา--เพื่ออะไร?”

ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้เกิดจากอคติ แต่เกิดจาก ความคาดหวังอันยาวนาน และเมื่อความคาดหวังเหล่านั้นถูกปล่อยให้หลุดมือโดยไม่มีคำอธิบาย มันจึงกลายเป็น ความผิดหวังที่หนักยิ่งกว่าคำด่าจากฝ่ายตรงข้าม

และนี่คือเหตุผลที่ ลุงตู่ยังไม่จางหายจากความคิดของผู้คน ไม่ใช่เพราะเขาจะกลับมา แต่เพราะในความรู้สึกของสังคมจำนวนมาก เขา ยังเป็นตัวแปรที่ทำให้ทุกอย่างมาถึงจุดนี้ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

ในสังคมไทยวันนี้ ชื่อของ ลุงตู่ ไม่ได้เลือนหายไปตามกาลเวลา แต่กลับกลายเป็น “ตัวแปรร่วม” ของทั้งสองขั้วอารมณ์

ฝ่ายหนึ่ง ยังคิดถึง เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับผู้นำปัจจุบันแล้วรู้สึกว่า บ้านเมืองเคยนิ่งกว่านี้ ตัดสินใจเด็ดขาดกว่า แม้จะแลกมากับข้อครหาเรื่องประชาธิปไตยอีกฝ่าย ยังวิจารณ์ เพราะมองว่าเขาคือคนที่ ปล่อยให้สิ่งที่ตัวเองเคยต่อต้านย้อนกลับมาโดยไม่มีแรงต้าน

นี่คือ “ความคิดถึงที่ไม่เหมือนกัน” ฝ่ายหนึ่งใช้ สมองซีกขวา คิดถึงความคุ้นมือ ความเด็ดขาด ในวันที่ประเทศยังมีทิศทาง อีกฝ่ายใช้ หัวใจซีกซ้าย ของกลุ่มอนุรักษนิยมเอง ที่เจ็บลึก เพราะผู้นำที่เคยฝากความหวังไว้ กลับเดินจากไป ทิ้งสนามไว้ให้ศัตรูเดินกลับมาอย่างไร้ต้าน

สิ่งที่ทำให้ความผิดหวังนั้นรุนแรง ไม่ใช่แค่การวางมือ แต่คือการวางมือ โดยไม่มีอะไรป้องกัน ไม่มียุทธศาสตร์ส่งต่อ ไม่มีแรงต้านโครงสร้างที่เคยประกาศว่าจะล้ม จนหลายคนรู้สึกว่า เขาเพียงแค่หยุดศัตรูไว้ชั่วคราว แล้วเปิดทางให้เดินกลับเข้ามาอย่างราบรื่น

ในสังคมที่ระบบไม่แข็งแรงพอให้คนใหม่เติบโตได้จริง ผู้คนจึงกลับไปหาความทรงจำ ไม่ใช่เพราะทรงจำเหล่านั้นดีเลิศไร้ที่ติ แต่เพราะสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ ยังไม่ดีพอให้ยึดเหนี่ยวใจ

ความคิดถึงลุงตู่ จึงไม่ใช่เรื่องของอุดมการณ์หรือการเมืองฝ่ายใด แต่มันคือ “คำตอบชั่วคราว” ของสังคมที่ยังไม่พบอนาคตที่น่าเชื่อถือ ประชาชนจึงไม่เดินหน้า แต่หันหลังกลับไปมองคนเก่า… ไม่ใช่เพื่อเชื้อเชิญให้คืนเวที แต่เพื่อถามตัวเองว่า “ทำไมตอนนั้นมันยังรู้สึกว่าเดินได้มากกว่านี้”

และเมื่อระบบไม่สามารถทำให้คนรุ่นใหม่แสดงศักยภาพได้เต็มที่ ความใหม่ก็กลายเป็นสิ่งที่ไร้น้ำหนัก มันไม่เคยแปลว่า “ดีกว่า” เพราะทุกครั้งที่คนใหม่สะดุด ประชาชนจะหันกลับไปมองคนเก่าด้วยสายตาที่อ่อนแรงลงเรื่อย ๆ

นี่คือ วงจรซ้ำซากของการเมืองไทย เมื่อความล้มเหลวของคนใหม่ กลายเป็นเชื้อไฟในการคืนชีพให้คนเก่าและเมื่อคนเก่าเคยทำพลาด แต่ระบบไม่เคยเรียนรู้จากอดีต อนาคตจึงไม่เคยเกิดจริง

เราไม่เคยสร้างระบบที่ “ล้มได้แล้วลุกใหม่ให้ดีกว่า” มีแต่ระบบที่ “ล้มแล้วกลับไปหาคนเดิม” เพราะไม่มีอะไรใหม่ที่พาเราออกจากวงจรนี้ได้เลย

เมื่อคนเก่ากลายเป็นความคุ้นมือที่สังคมยังไม่กล้าวาง และคนใหม่กลายเป็นสิ่งทดลองที่ยังไม่มั่นใจจะใช้จริง การเมืองไทยจึงติดอยู่ในลูปเดิม  วนกลับสู่บุคคล มากกว่าก้าวหน้าไปสู่ระบบ

ไม่มีใครเถียงว่าการเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากคนรุ่นใหม่ แต่เมื่อพรรคที่ประกาศตัวเป็นความหวังแห่งอนาคตอย่าง พรรคประชาชน ยังหลงใหลอยู่กับ วาทกรรมคำโต-เสียงดังแต่ลอยฟ้า-พูดราวกับการเมืองเป็นห้องเรียนปรัชญา ไม่ใช่สนามต่อรองผลประโยชน์ พูดเรื่องอุดมคติโดยไม่แตะพื้นของความจริง โจมตีระบบโดยไม่เคยเข้าใจว่า “ระบบ” นั้นทำงานอย่างไร และเสนอทางออก ทั้งที่ยังไม่เข้าใจโจทย์ของประเทศอย่างแท้จริง

พรรคประชาชนอาจมีไฟ มีฝัน มีภาษาวัยรุ่นที่ปลุกใจในโซเชียล แต่การบริหารประเทศ ไม่ใช่การตั้งสเตตัสหรือปะทะเชิงวาทศิลป์ในสภา สิ่งที่ประชาชนต้องการไม่ใช่คำคม แต่คือความสามารถในการบริหารประเทศท่ามกลางความซับซ้อนของผลประโยชน์ กลไกรัฐ และโครงข่ายอำนาจที่ไม่มีทาง “เปลี่ยนแปลง” ได้ด้วยแค่การตะโกน

ในขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนหลักของรัฐบาล กำลังเผชิญวิกฤตศรัทธาอย่างเงียบและลึก เมื่อหลายคนมองว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่ใช่รัฐบาลของประชาชน แต่คือ “รัฐบาลของทักษิณ” ที่คุมเกมผ่านลูกสาวตัวเอง

เมื่อคนเก่าอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ถูกวิจารณ์จากหลายด้าน แต่คนใหม่อย่าง แพทองธาร กลับยังไม่มีพลังนำ หรือแม้กระทั่งภาพความเป็นผู้นำที่ชัดเจน สังคมก็กลับมาหาคนเดิมไม่ใช่เพราะเขาดีที่สุด แต่เพราะคนใหม่ยังไม่อาจเทียบได้แม้แต่ครึ่ง

การเมืองที่ยังต้องเลือกจากความผิดหวัง ไม่ใช่ความหวัง จึงยังไม่อาจเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคสมัยใหม่ได้จริง

ในระยะยาว หากพรรคประชาชนยังหลงคิดว่าเปลี่ยนประเทศได้ด้วยวาทกรรมโอ่อ่าแต่กลวงเปล่า และ พรรคเพื่อไทยยังเดินใต้เงาอำนาจตระกูลชิน การเมืองไทยก็จะยังติดอยู่ในวงกลมเดิม ที่ความรู้สึกวนซ้ำมากกว่าความเปลี่ยนแปลง คนเก่าไม่หาย คนใหม่ไม่เกิด และอนาคตก็ไม่มีวันมาถึง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

มีคำตอบ! รัฐบาลอนุทินมี ‘ศุภจี‘ เป็นจุดเด่น ทำไมปล่อยให้มี ’ธรรมนัส’ เป็นจุดอ่อน

คุณศุภจีคือตัวแทนของ "ภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ" ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ดึงดูดชนชั้นกลางและคนเมือง และเป็นเกราะป้องกันทางการเมือง เมื่อฝ่า

ขนลุก! กูรูใหญ่ สาปแช่งพรรคเพื่อไทย หลังข่าวซูเอี๋ยพรรคส้ม

ความคิดที่เพื่อไทยและประชาชนจะจับมือกันตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งแล้วเลื่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือท่าดีทีล้มละลายทางการเมือง

ฮือฮา ‘ธรรมนัส’ แต่งตั้งอัยการชื่อดัง นั่งที่ปรึกษารองนายกฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงนาม

‘โบว์ ณัฏฐา’ ชี้ภาพเลือกตั้งเริ่มชัด เหลือสองพรรคที่ขยับขึ้นมาเด่น

“โบว์ ณัฏฐา” วิเคราะห์แนวโน้มจากโพลชุดล่าสุด ระบุศูนย์กลางการแข่งขันเริ่มขยับเหลือสองพรรคที่โดดขึ้นมา ขณะที่เพื่อไทยถูกทิ้งระยะ แม้คนยังไม่ตัดสินใจมีจำนวนมาก แต่สุดท้ายก็ต้องเลือกระหว่างตัวเลือกที่เด่นที่สุดในตอนนี้