พรรคประชาชนยังคงเดินเกมฝ่ายค้านอย่างเข้มข้น ด้วยการตั้งคำถามต่อรัฐในแทบทุกมิติ ทั้งในสภาและบนสื่อออนไลน์ ท่ามกลางกระแสสังคมที่พูดถึง “ความมั่นคง” เป็นหลัก
พรรคไม่ได้เปลี่ยนแนวทาง แต่ขยายการตรวจสอบให้ลึกขึ้น พร้อมพยายามรักษากระแสความนิยมในโลกออนไลน์ ซึ่งเคยเป็นฐานแข็งที่สุดของตนเอง จากเรื่องทุนสีเทา ไปจนถึงบทบาทของกองทัพในภาวะวิกฤต การเคลื่อนไหวเหล่านี้ทำให้ชื่อพรรคถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในประเด็นที่พูดถี่ขึ้น คือบทบาทของกองทัพในวันที่ประเทศเผชิญแรงกดดันรอบด้าน
ทุกการเคลื่อนไหวของพรรคนี้ ล้วนเชื่อมโยงกับสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “การทวงคืนอำนาจให้ประชาชน”
อีกด้านหนึ่งของภาพใหญ่ กองทัพไทยทำงานภายใต้แรงกดดันจริง จากภารกิจปกป้องชายแดน ไปถึงการดูแลความปลอดภัยในพื้นที่เสี่ยง สถานการณ์นี้ทำให้สังคมหันมามองทหารในฐานะ “ผู้ลงมือทำ” ต่างจากภาพเมื่อก่อนที่ถูกผูกกับการเมืองและอำนาจ
แต่คำถามเดิม ๆ ยังอยู่ในใจคน ทั้งเรื่องความโปร่งใส สวัสดิการกำลังพล การตรวจสอบงบประมาณ และการจัดซื้อจัดจ้างที่เข้าถึงยาก จุดเหล่านี้ทำให้กองทัพยังถูกจับตา แม้มีผลงานภาคสนามจริง
ท่ามกลางกระแสชื่นชมกองทัพ พรรคประชาชนยังยืนจุดเดิม คือการตรวจสอบโครงสร้างอำนาจรัฐ แต่ในบรรยากาศแบบนี้ การตั้งคำถามเริ่มเจอแรงสะท้อน จากสังคมบางส่วนที่มองต่างออกไป
พรรคได้พื้นที่กลับคืนจากความกล้าที่หยิบเรื่องใหญ่ขึ้นมาพูด แต่ก็เสี่ยงจะถูกมองว่าไม่เข้าใจอารมณ์สังคม โดยเฉพาะจากคนที่เคยเห็นว่าพรรคคือความหวัง
ระหว่างที่กองทัพปฏิบัติภารกิจชายแดนอย่างเข้มข้น เสียงจากฝ่ายค้านดังขึ้นอีกด้าน รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน หยิบประเด็น “ความมั่นคง” ในมิติที่ซับซ้อนขึ้น
เขาชี้ว่า ภัยวันนี้ไม่จำเป็นต้องมาในรูปการรบ แต่อาจซ่อนอยู่ใน “ทุนสีเทา” และ “เครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติ” ที่ใช้ช่องทางชายแดนไทย–กัมพูชาเป็นฐาน และอาจเชื่อมโยงผลประโยชน์กับผู้มีอำนาจในประเทศ
ชื่อของ “เบน สมิธ” นักธุรกิจต่างชาติ ถูกยกขึ้นมาในฐานะหนึ่งในผู้ต้องสงสัยเครือข่ายฉ้อโกงลงทุนข้ามชาติทที่แฝงตัวใช้ไทยเป็นฐานปฏิบัติการ รังสิมันต์ระบุว่า ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนความล้มเหลวของรัฐ ในการสกัดกั้นทุนสีเทาต่างชาติที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านของธุรกรรมผิดกฎหมาย
ต่อมา รายละเอียดบางส่วนถูกตั้งข้อสงสัยว่าคลาดเคลื่อนทจนมีเสียงว่า บุคคลที่ถูกพาดพิงอาจไม่ใช่คนเดียวกับในเอกสารจริง ขณะที่รังสิมันต์และพรรคประชาชนยังไม่ชี้แจงเพิ่มเติม เรื่องที่เริ่มแรงจึงค่อย ๆ เงียบจากหน้าข่าว
กรณีนี้สะท้อนยุทธวิธีแบบ “เปิดแรงแล้วเงียบเร็ว” เปิดประเด็นใหญ่เพื่อเขย่าการเมือง แต่ไม่ตามต่อให้ลึกพอ จนดูเหมือนจะจบด้วยความคลุมเครือ
อย่างไรก็ดี สิ่งที่รังสิมันต์หยิบขึ้นมาไม่ได้หายไป เพราะทำให้เห็นว่า “ความมั่นคง” ยุคนี้ไม่ได้อยู่แค่ชายแดน แต่รวมถึงทุนข้ามชาติที่แฝงในเศรษฐกิจ และอาจแตะผลประโยชน์ของบางกลุ่มในประเทศ
เมื่อเสียงของรังสิมันต์เริ่มเบาลงมชื่อของ รักชนก ศรีนอก สส.หญิงจากพรรคเดียวกันกลับโดดเด่นขึ้นทเธอเดินสายตรวจสอบทั้งในสภาและบนสื่อสาธารณะ ใช้เวทีอย่างมั่นใจ คำชัด ประเด็นตรง
เธอหยิบกรณี “กัน จอมพลัง” ผู้เปิดรับบริจาคราว 200 ล้านบาทจากประชาชน เพื่อนำไปจัดซื้ออุปกรณ์ เสื้อเกราะ และสิ่งของต่าง ๆ มอบให้กองทัพ ในช่วงสถานการณ์ตึงเครียดตามแนวชายแดน
รักชนกนำข้อบังคับของ “มูลนิธิกันจอมพลังช่วยสู้”ทมาใช้เป็นจุดเคลื่อนไหว หลังพบว่า หากมูลนิธิดังกล่าวถูกยกเลิก ทรัพย์สินทั้งหมดจะโอนไปยัง “มูลนิธิธรรมนัส” ซึ่งมีชื่อของ ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นผู้ก่อตั้ง
ชื่อของธรรมนัสเป็นที่รู้จักในแวดวงการเมืองมายาวนาน ทั้งบทบาทนักการเมืองระดับนำ เครือข่ายกว้าง และประเด็นคดีความที่เคยเป็นข่าว ทำให้เส้นทางทางการเมืองของเขายังถูกจับตา ทั้งในและนอกสภา
การเชื่อมโยงชื่อของธรรมนัสกับ โครงสร้างมูลนิธิ ที่เกี่ยวข้องกับการระดมทุนของกัน จอมพลัง ทำให้ประเด็นนี้ขยายวงทันที!
ช่วงแรก รักชนกถูกชมว่าเป็นนักการเมืองหญิงที่กล้า หลายคนมองว่าไม่เกรงแรงต้าน แต่ไม่นานกระแสออนไลน์ก็เปลี่ยนทิศ
ผู้คนบางส่วนเริ่มตั้งคำถามว่า เหตุใดฝ่ายค้านจึงหันไปตรวจสอบประชาชน ที่ลงแรงและลงเงินช่วยกองทัพ แทนที่จะทุ่มไปตรวจสอบฝ่ายบริหารในสภา
หนึ่งในความเห็นที่สะท้อนทิศทางเดียวกันคือ ”เรามี สส.ไว้ทำไม ถ้าไม่ได้ตรวจสอบรัฐบาล แต่กลับมาตรวจสอบประชาชนที่ช่วยประเทศชาติ”
เสียงแบบนี้เริ่มมีมากขึ้นในหลายช่องทางออนไลน์ททั้งจากผู้สนับสนุนกองทัพ และคนที่เคยเลือกพรรคประชาชน พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธการตรวจสอบ แต่เห็นว่าเป้าหมายครั้งนี้ “ผิดจังหวะ”
ในเชิงสื่อสาร กระแสเหล่านี้ย้อนมาที่ฐานเสียงของพรรค ภาพ “ปากเสียงของประชาชน” เริ่มสั่นคลอน จากพรรคที่เคยอยู่ข้างผู้คน เริ่มถูกมองว่าห่างจากความรู้สึกของสังคม
ภาพนี้ยิ่งชัด เมื่อ ปิยรัฐ จงเทพ หรือ “โตโต้” สส.กรุงเทพฯ รองเลขาธิการพรรค โพสต์ในเฟซบุ๊กถึงกรณี “กัน จอมพลัง” จัดซื้อเสื้อเกราะบริจาคให้กองทัพ โดยอ้างคำพิพากษาศาลที่ตัดสินว่า เสื้อเกราะกันกระสุนถือเป็น “ยุทธภัณฑ์” และผู้จัดซื้อโดยไม่ได้รับอนุญาตมีความผิดตามกฎหมาย มีโทษถึงจำคุก 5 ปี
ข้อความนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ผู้คนกำลังรวมพลังช่วยเหลือแนวหน้า เสื้อเกราะในสายตาประชาชนไม่ใช่เรื่องของกฎหมาย แต่คือสัญลักษณ์ของการปกป้องชีวิตทหาร การหยิบตัวบทขึ้นมาอ้างในเวลานี้ จึงสวนทางกับอารมณ์สังคมอย่างชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้น ยังสะท้อนความย้อนแย้งในตรรกะของพรรคเอง เพราะพรรคที่เคยตั้งคำถามต่อคำพิพากษา และเคยกล่าวว่ากฎหมายเป็นเครื่องมือของอำนาจ
วันนี้กลับยึดกฎหมายเดียวกันมาโต้ฝ่ายตรงข้าม ความย้อนแย้งนี้ไม่ได้แค่ลดน้ำหนักทางการเมือง แต่ยังทำให้เห็นจุดอ่อนในการอ่านทั้งอารมณ์สังคมและเหตุผลของตัวเอง
“กัน จอมพลัง” อาจมีข้อครหา แต่ในสายตาคนทั่วไป เขาคือ “คนลงมือทำจริง” เมื่อพรรคประชาชนเลือกตรวจสอบประเด็นนี้ สิ่งที่เคยเป็นพื้นที่แข็งของพรรคอย่างโลกออนไลน์ กลับเริ่มไม่เป็นไปในทิศทางเดิม
คอมเมนต์ที่เคยหนุน เริ่มกลายเป็นคำถาม บางส่วนเป็นคำตำหนิ “ฝ่ายค้านควรตรวจสอบรัฐบาล ไม่ใช่คนที่ช่วยเหลือทหาร” กลายเป็นประโยคที่ถูกพูดซ้ำ
เสียงเหล่านี้ไม่ใช่แค่จากฝ่ายตรงข้าม แต่รวมถึงผู้ติดตามและคนที่เคยเลือกพรรค
แม้พรรคยืนยันว่า สิ่งที่ทำเป็นการตรวจสอบโดยสุจริต และเป็นหน้าที่ในระบอบประชาธิปไตย แต่คนจำนวนไม่น้อยกลับรู้สึกว่าพรรคอ่านอารมณ์ผู้คนพลาด เพราะขณะประชาชนรวมพลังช่วยชายแดน พรรคกลับตั้งคำถามต่อการกระทำนั้น
แรงสะท้อนบนโซเชียลจึงเกิดต่อเนื่อง กระแสที่เคยหนุนพรรค ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ฐานออนไลน์ซึ่งเคยเป็นหัวใจ ตั้งแต่ยุค “อนาคตใหม่” “ก้าวไกล” ถึง “พรรคประชาชน” เริ่มเปลี่ยนจากแรงเชียร์ เป็นการจับตาแบบไม่ไว้ใจเต็มร้อย
และพรรคต้องยอมรับความจริงอีกครั้งว่า เสียงในโลกออนไลน์ ไม่ได้เป็นของใครตลอดไป
เมื่อกระแสออนไลน์เปลี่ยนทิศ พรรคประชาชนย่อมเห็นว่าการเมืองวันนี้ไม่ได้วัดกันที่จำนวนเสียงบนแพลตฟอร์ม แต่ต้องวัดกันที่ความเชื่อมั่นของผู้คน ซึ่งเปลี่ยนใจได้ตลอดเวลา
พรรคยังยืนแนวทางฝ่ายประชาธิปไตย และยืนตรงข้ามอำนาจรัฐอย่างชัด แต่ในช่วงที่สังคมหันกลับมาให้ความสำคัญกับคำว่า “ความมั่นคง” เสียงสนับสนุนจึงลดลงอย่างเห็นได้ชัด
สิ่งที่พรรคประชาชนต้องเข้าใจให้มากกว่าการสื่อสาร คือ “จังหวะของสังคม” เพราะความกล้าที่เคยสร้างแรงสั่นสะเทือน อาจไม่พอในวันที่ผู้คนต้องการการลงมือทำมากกว่าคำพูด
วันนี้ พรรคประชาชนยังมีพื้นที่สื่อและออนไลน์เหมือนเดิม แต่จากเสียงเชียร์ กลายเป็นเสียงจับตา จากความคาดหวัง กลายเป็นคำถามว่าพรรคนี้ทำเพื่อตัวเองหรือเพื่อประเทศ
กองทัพยังทำหน้าที่เพื่อความมั่นคงของชาติ ขณะที่พรรคประชาชนยังเดินหน้ารักษากระแสทางการเมือง แต่ในสนามจริงภารกิจของพรรคและภารกิจของชาติ กำลังสวนทางกันอย่างเห็นได้ชัด
ในสนามการเมืองที่เปลี่ยนเร็ว การรักษาความเชื่อมั่นของผู้คน อาจสำคัญพอ ๆ กับการรักษาอุดมการณ์ที่พรรคยึดถือมาตลอด.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นายกฯ ลงพื้นที่เยี่ยมศูนย์พักพิง จ.สุรินทร์ ขอบคุณ ปชช. ให้ความร่วมมืออพยพมาจุดปลอดภัย
ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจประชาชน และเจ้าหน้าที่
ทภ.2 แจ้งสายข่าวพบ เตรียมส่งออกน้ำมัน จุดผ่านแดนถาวรช่องเม็กผิดปกติ
ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำ
กกล.บูรพา สรุปสถานการณ์ปะทะเดือดวันที่ 7 ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นาย
ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 สรุปสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่ จ.สระแก้ว ประจำวัน
ปฏิบัติการ 7 วัน 'ตชด.' บาดเจ็บ 30 นาย อาการปลอดภัย ลั่นยืนหยัดปกป้องผืนแผ่นดินไทย
เพจตำรวจตระเวนชายแดน โพสต์ปฏิบัติการ 7 วัน ตชด. บาดเจ็บสะสม 30 นาย อาการปลอดภัยดี
ฟ้อง UN 'กัมพูชา' ยิง BM-21 เป้าหมายพลเรือน ละเมิดสิทธิ์ห้ามต่างชาติ-คนไทยเดินทางกลับ
กต.ส่งหนังสือถึง ยูเอ็น ฟ้อง กัมพูชา ถล่มเป้าหมายพลเรือน - ละเมิดสิทธิ์ห้ามต่างชาติและคนไทย เดินทางกลับทางบก ด้าน สีหศักดิ์ แจงข้อเท็จจริง รมว.ต่างประเทศเวียดนาม
3 สมาคมข่าว ออกแถลงการณ์ ห่วงสื่อลงพื้นที่รายงานข่าวชายแดน คำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุด
3 สมาคมนักข่าว ออกแถลงการณ์เรื่อง ข้อห่วงใยสื่อมวลชน ในการลงพื้นที่รายงานข่าวที่มีความเสี่ยง

