'จุลินทรีย์ในลำไส้' นั้นสำคัญไฉน! ทำไมโยงหลายโรค-สมองเสื่อม

23 มิ.ย. 2566 – ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า จุลินทรีย์ในลำไส้…ที่มาและที่จะไปต่อ (ตอนที่ 2)

การจัดระยะการดำเนินโรค Braak staging ยังมีเช่นกันในโรคอัลไซเมอร์ ตั้งแต่ปี 1991 และจัดแบ่งระยะที่หนึ่งถึงสองระยะที่สามถึงสี่และระยะที่ห้าถึงหกตามตำแหน่งของสมองที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดความผิดปกติและโปรตีนพิษเหล่านี้จะมีการเคลื่อนย้ายส่งผ่านไปสู่สมองส่วนต่างๆ เป็นระเบียบ ตามลักษณะของโรคแต่ละชนิด

ลักษณะการเคลื่อนย้ายส่งผ่านโปรตีนพิษเหล่านี้จะพบได้ในสมองเสื่อมประเภทต่างๆ ด้วย เช่น frontotemporal dementia (FTD) progressive Supranuclear palsy (PSP) amyotrophic lateral sclerosis (ALS)

โปรตีนเหล่านี้เป็นอันตราย โดยจะมีตัวรับสัญญาณอันตรายในเซลล์ที่พยายามที่จะคลี่คลายโปรตีนเหล่านี้ โดยกำจัดทิ้งหรือจะคลายตัวให้เป็นปกติและนำไปใช้ใหม่ ทั้งนี้จะสู้ไหวหรือไม่ขึ้นอยู่กับชะตากรรม พันธุกรรมที่เกิดมา อายุและโรคประจำตัวอื่นๆโดยเฉพาะที่ทำให้เกิดการอักเสบ

หลักฐานที่เชื่อมโยงลำไส้เส้นประสาทและสมองที่สำคัญ คือไส้ติ่ง โดยคนที่ผ่าตัดไส้ติ่งจะลดความเสี่ยงของโรคพาร์กินสันได้ประมาณ 20% โดยเฉพาะถ้าอยู่ในชนบทอยู่กับธรรมชาติจะลดลงได้ถึง 25.4% และ ถึงแม้ว่าจะเกิดเป็นขึ้นมาก็จะเกิดอาการช้ากว่า 3.6ปี สำหรับผู้ที่ผ่าไส้ติ่งไปแล้วนานกว่า 30 ปี ซึ่งตรงกับข้อมูลอีกหลายรายงาน ที่ แม้ว่าไส้ติ่งของคนปกติจะมีโปรตีนของพาร์กินสันอยู่ก็ตาม แต่ปริมาณโปรตีนของคนที่เป็นพาร์กินสันส์นั้นจะมากกว่าถึง 4.5 เท่า

เส้นประสาทที่เชื่อมโยงลำไส้กับสมองคือเส้นที่ 10 โดยพบว่าถ้ามีการตัดเส้นประสาทเส้นนี้ในการรักษาโรคกระเพาะอาหาร ถ้าตัดเป็นบางส่วนจะไม่ช่วยลดความเสี่ยงพาร์กินสันเทียบกับตัดทั้งอยู่ยวง

ในปี 2013 รายงานที่สำคัญอย่างยิ่งในวารสาร Nature Medicine พิสูจน์ความสำคัญของจุลินทรีย์ในลำไส้ โดยอาหารที่มีโคลีน ฟอสฟาทิดิลโคลีน คาร์นิทีน (L-carnitine) มาก ได้แก่เนื้อแดง ไข่แดง เมื่อตกไปถึงลำไส้จะถูกจุลินทรีย์ย่อยและเปลี่ยนไปเป็นสารที่ก่อการอักเสบในร่างกายและเส้นเลือด คือ TMA ซึ่งถูกเปลี่ยนเป็น TMAO ในตับ

และแสดงให้เห็นชัดเจนว่า คนที่กินเนื้อเมื่อทดลองให้กิน แอล-คาร์นิทีน จะมีการผลิตสารอักเสบในระดับที่สูงกว่าคนที่เป็นมังสวิรัติหรือกินพืชผักผลไม้เป็นหลัก และที่สำคัญก็คือมีแบคทีเรียตระกูลดีและเลวต่างกัน เมื่อทำการตรวจอุจจาระและมีความสัมพันธ์กันกับทั้งชนิดของอาหารที่กินเป็นประจำและระดับของสารอักเสบ TMAO และระดับของสารอักเสบนี้เองยังสามารถใช้เป็นดัชนีชี้วัด คนที่จะเกิดเรื่องเป็นหัวใจวาย เส้นเลือดหัวใจตันเส้นเลือดสมองตัน

การให้หนูกินแอล-คาร์นิทีน นานๆ จะไปเปลี่ยนจุลินทรีย์ในลำไส้และผลิตสารอักเสบ รวมกระทั่งทำให้เกิดมีเส้นเลือดแข็งและตีบ และในหนูที่มีจุลินทรีย์ที่ดี แม้จะให้อาหารที่มีสารเหล่านี้อยู่จะไม่เกิดผลร้าย

ทั้งหมดนี้เป็นการเชื่อมโยงชนิดประเภทของอาหารส่วนประกอบในอาหาร จุลินทรีย์ในลำไส้ การเกิดสารอักเสบย้อนกลับเข้าไปทำร้ายร่างกายและเส้นเลือด

รายงานที่มาคู่กัน ในวารสารนิวอิงแลนด์เจอนัล ในปีเดียวกันได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกันถึงอาหารที่มีโคลีน เลซิติน จะเพิ่มความเสี่ยงของโรคของเส้นเลือดในร่างกาย

เส้นเลือดยังมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับสมองเช่นเดียวกัน ดังในรายงานในวารสาร Nature communications ปี 2016 ที่พบว่าความผิดปกติของโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ เริ่มต้นประการแรก จากเส้นเลือดที่ไม่สามารถปรับตัวส่งเลือดไปยังสมองได้ตามความเหมาะสม (vascular dysregulation) ก่อนหน้าที่จะมีการสะสมของโปรตีนพิษในสมองด้วยซ้ำ

ซึ่งวงจรของสมองเสื่อม จึงประกอบไปด้วยการอักเสบในร่างกายซึ่งกระทบกับเส้นเลือดในสมอง เป็นการยิงเป้า hit 1 และ ต่อด้วย hit 2 คือการผลิตโปรตีนบิดเกลียวเพิ่มขึ้นและระบบการกำจัดลดลง นำไปสู่การทำงานแปรปรวนของระบบประสาทและถ้าไม่ได้ถูกแก้ไข เส้นประสาท เซลล์ประสาท เสียหาย ตาย สมองเหี่ยวฝ่อเกิดเป็นอาการสมองเสื่อมเต็มขั้น

บทบาทของจุลินทรีย์ในลำไส้ยังถูกค้นพบ เพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ เป็นต้นมาตั้งแต่ปี 2000 จนกระทั่งถึงปี 2022 ทั้งนี้โดยที่คนที่ถูกกำหนดชะตากรรมว่าจะมีสมองเสื่อมจะมีจุลินทรีย์ในลำไส้ผิดปกติทั้งในด้านการขาดความหลากหลายของชนิดของจุลินทรีย์และประเภทกลุ่มที่มีอยู่นั้น กลายเป็นพวกที่หน้าตาดุร้ายร้อนแรง สร้างการอักเสบ (dysbiosis) ดังรายงานในปี 2016 เป็นต้น ที่เป็น Escherichia/Shigella แทนที่จะเป็น Eubacterium rectale และยังสามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ในหนูที่ปรับแต่งพันธุกรรมเหนี่ยวนำให้เป็นสมองเสื่อมแบบในคน รวมทั้งทำให้เป็นหนูที่ปราศจากเชื้อ (germ free) จะมีโปรตีนพิษไม่มากนัก แต่เมื่อใส่แบคทีเรียที่ได้จากหนูธรรมดาหรือหนูสมองเสื่อมเข้าไปในลำไส้ จะมีการผลิตโปรตีนพิษเพิ่มมากขึ้นในทันที

ในมนุษย์ เช่นในรายงานปี 2020 จากคณะนักวิทยาศาสตร์อิตาเลี่ยนพบว่าการสะสมตัวของโปรตีนพิษ อมิลอยด์ มีความสัมพันธ์กับสารไม่ดีที่แบคทีเรียในลำไส้ผลิตขึ้นโดยการวัดระดับ lipopolysaccharide (LPS) กรดไขมันสายสั้น acetate valerate butyrate และสารที่ เหนี่ยวก่อให้เกิดการอักเสบและตัวที่ชี้วัด การทำงานผิดปกติของเซลล์หลอดเลือด จากนั้นนำไปเปรียบเทียบเพื่อหาความสัมพันธ์กับการตรวจ PET scan และทดสอบการทำงานของสมอง

ลักษณะความเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตากลุ่มของจุลินทรีย์ ทั้ง ระดับ phylum class และ genus ยังมีการศึกษา ในคนไข้สมองเสื่อมอัลไซเมอร์ใน Kazakhstan เช่นกัน แลดูคล้ายกับว่าจะมีแบบแผนเฉพาะในเชื้อชาติเข้ามาด้วย และรวมทั้งการศึกษาชนิดประเภทของจุลินทรีย์ในลำไส้ยังมีความสัมพันธ์กับโรค พาร์กินสันส์ และโรค สมองเสื่อมที่ชื่อว่า diffuse Lewy body (DLB) และแม้แต่ DLB ที่เริ่มเป็นหรือที่เป็นเต็มเหนี่ยวแล้ว จะมีหน้าตาของจุลินทรีย์ต่างกันชัดเจน

ทั้งหมดนี้ จึงเป็นที่มาของการศึกษาวิจัยเพื่อที่จะให้ทราบรูปแบบของจุลินทรีย์ในโรคทางสุขภาพต่างๆ และโรคสมองเสื่อมและการปรับเปลี่ยนรูปแบบอาหาร ส่วนประกอบของอาหารเวลาที่จะกินอาหาร จะกินน้อยกินมากเพียงใด และกินระยะเวลาเท่าใดใน 24 ชั่วโมง เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'หมอธีระวัฒน์' ประกาศลาออกจาก หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก

'หมอนิติเวช' โต้ แท่งย้วยสีขาวในคนตายฉีดวัคซีน mRNA พบได้ในผู้ตายทุกคน

นาวาตรี น.พ. อรรถสิทธิ์ ดุลอำนวย แผนกนิติเวชศาสตร์ รพ.ภูมิพลอดุลยเดช กล่าวถึงรณีที่ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ออกมาระบุว่า ในต่างประเทศพบ ผู้ฉีดวัคซีน mRNA

'หมอธีระวัฒน์' แนะกลยุทธ์ 'สมองใส'

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า กลยุทธ์ สมองใส

อาจารย์หมอ ย้ำชัดเป็นสมองเสื่อม รู้เร็วป้องกันชะลอไม่ให้ลุกลามได้

สมองเสื่อมมีหลายยี่ห้อแล้วแต่ชนิดของโปรตีนพิษบิดเกลียว ที่จะมีทางวิ่งไปยังสมองส่วนต่างๆไม่เหมือนกัน ดังนั้นทำให้อาการที่ปรากฏขึ้นนั้น มีความผิดแผกแตกต่างกันได้ แต่ทั้งนี้ กลไกการเกิดและการทำลายสมองนั้นใกล้เคียงหรือเหมือนกัน

อายุ 80 ขึ้น กลับมีสมองเหมือน 50 ทำอย่างไร? ’หมอธีระวัฒน์’ มีคำตอบ

แม้จะมีสมองเสียหายแล้วแต่ภายนอกก็ยังดูดีอยู่ได้ (resilience) จนกระทั่งถึงการชะลอไม่ให้สมองเสียหายเร็วและปรับกระบวนทัศน์ของการใช้พลังงานให้เป็นในรูปแบบของ autophagy