ฉวยโอกาสส่งออกบูม จัดทัพเอสเอ็มอีรุกต่างประเทศ


เพิ่มเพื่อน    

ธุรกิจขนาดกลางและย่อม หรือเอสเอ็มอี ถือว่าเป็นฐานรากสำคัญของระบบเศรษฐกิจ รัฐบาลได้เร่งยกระดับผู้ประกอบการเพื่อส่งเสริมให้มีการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง  สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่ส่งเสริมเอสเอ็มอี ที่ผ่านมาได้มีการเสริมสร้างเอสเอ็มอีในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการจัดสัมมนา-เวิร์กช็อป, กิจกรรมให้คำปรึกษาปรับปรุงภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์, กิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (ออนไลน์แมตชิ่ง) กับคู่ค้าในแต่ละประเทศ ซึ่งได้รับผลตอบรับและประสบความสำเร็จด้วยดีมาตลาด ล่าสุดได้ร่วมสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดโครงการพัฒนาศักยภาพและช่องทางการตลาดเชิงลึกสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี  เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าสู่ตลาดจีน  อินเดีย และบาห์เรน
    

นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า สสว.ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของตลาดทั้ง 3 ประเทศนี้ ซึ่ง สสว.มีเป้าหมายในการช่วยเหลือเสริมความแข็งแกร่งผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในยุค New Normal ด้วยหาช่องทางการเปิดตลาดใหม่ๆ ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการให้ผ่านพ้นวิกฤตทางการค้า และส่งผลดีต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในระยะยาว รวมถึงสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ
  

ภายโครงการนี้ ได้จัดกิจกรรมเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการแบบเข้มข้นใน 3 แนวทาง เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการตลาดระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2564 ได้แก่ การจัดสัมมนา-เวิร์กช็อป, กิจกรรมให้คำปรึกษาปรับปรุงภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์, กิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (ออนไลน์แมตชิ่ง) กับคู่ค้าในแต่ละประเทศ ได้แก่ กิจกรรมจับคู่ธุรกิจ ตลาดอินเดีย ตลาดจีน ส่วนตลาดบาห์เรน จะแบบเป็น 2 กิจกรรม คือ 1.เจรจาจับคู่ธุรกิจ และ 2.การทดลองจัดแสดงสินค้าที่ห้าง Thai Mart ประเทศบาห์เรน (Mini Showcase) ซึ่งผู้ประกอบการจะได้ทดลองจำหน่ายสินค้าจริงในประเทศเป้าหมาย
    

โดยการจัดโครงการในครั้งนี้ มีผู้ประกอบการเข้าร่วมทั้งหมดจำนวน 100 ราย แบ่งเป็นกลุ่มสินค้าประเภทต่างๆ ได้แก่ กลุ่มอาหาร-เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรแปรรูป, กลุ่มของที่ระลึก,กลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม และกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ โดยคาดการณ์จะมีมูลค่าการเจรจาจับคู่ธุรกิจที่จะเกิดขึ้นจากการจัดโครงการ ครั้งนี้ จำนวน 200 ล้านบาท
    

"ตลาดประเทศจีน อินเดีย และบาห์เรน จะมีความสำคัญต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในอนาคต โดยเฉพาะจีนเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูงขึ้นเรื่อยๆ และยังฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ได้รวดเร็วที่สุด โดยธนาคารโลกคาดจีดีพีจะโตถึง 8.5% ในปี 2564 ส่งผลให้ยอดการส่งออกของไทยไปจีนในรอบครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน 2564) มีมูลค่ากว่า 600,000 ล้านบาท ขยายตัวสูงถึง 24.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 รวมทั้งยังมีโอกาสขยายการค้าได้อีกมาก โดยเฉพาะในกลุ่มของผลไม้ พืชผัก ผลิตภัณฑ์ยางไปจนถึงเครื่องจักรต่างๆ" นายวีระพงศ์กล่าว
  

 นายวีระพงศ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ การเปิดเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจากเมืองคุนหมิง ในภูมิภาคจีนตอนใต้ มาถึงเมืองเวียนจันทน์ สปป.ลาว ที่จะเปิดให้บริการในเดือนธันวาคมปีนี้ ก็จะเพิ่มยอดการส่งออกสินค้าจากไทยไปจีนได้อีกมาก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตร เนื่องจากเส้นทางรถไฟสายนี้ที่กรุงเวียงจันทน์ อยู่ใกล้กับชายแดนไทยจังหวัดหนองคาย จะช่วยย่นระยะเวลาการขนส่งไปจีนตอนใต้เหลือเพียง 1 วัน และลดค่าขนส่งได้มากกว่า 5 เท่าตัว ซึ่งจะเปิดโอกาสการส่งออกของเอสเอ็มอีไทยได้อีกมหาศาล
    

ในขณะที่ประเทศอินเดีย ก็เป็นตลาดที่มีอนาคตสูงของไทย เพราะมีประชากรกว่า 1,300 ล้านคน และได้รับการคาดหมายว่าในปี 2050 จะกลายเป็นประเทศที่มี GDP สูงกว่าสหรัฐอเมริกา โดยในปัจจุบันอินเดียเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 10 ของไทย โดยยอดการส่งออกของไทยไปอินเดียในรอบครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน 2564) มีมูลค่ากว่า 126,000 ล้านบาท ขยายตัวสูงถึง 54.8%
  

 จากศักยภาพทางเศรษฐกิจของอินเดีย ทำให้ถูกมองว่าในอนาคตจะเป็นตลาดส่งออกใหม่ของไทยที่จะมีความสำคัญเทียบเท่าจีน เนื่องจากปัจุบันสินค้าส่งออกของไทยไปอินเดียยังมีปริมาณน้อย ยังเป็นตลาดที่ผู้ส่งออกไม่คุ้นเคย จึงมีโอกาสที่จะเจาะตลาดได้อีกมาก และอินเดียมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับสูง ทำให้มีความต้องการสินค้าเพิ่มมากขึ้น แนวโน้มสินค้าส่งออกที่มีแววสดใสคือ อัญมณีและเครื่องประดับ เคมีภัณฑ์และอินทรีย์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก เครื่องสำอาง สบู่ ผลิตภัณฑ์รักษาผิว และอุปกรณ์ทางการแพทย์
    

นอกจากนี้ อินเดียยังมีหลายรัฐทำให้มีความต้องการในการบริโภคที่หลากหลาย และยังเป็นประตูในการส่งออกสินค้าจากไทยไปสู่ประเทศข้างเคียง เช่น ศรีลังกา มัลดีฟส์ รวมทั้งไทยยังมีข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับประเทศอินเดีย ทำให้มีความได้เปรียบเหนือกว่าประเทศอื่น และที่สำคัญคนอินเดียมีทัศนคติที่ดีต่อสินค้าไทย สินค้าไทยถูกจัดเป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูง และสามารถเข้าถึงได้
    

ส่วนประเทศบาห์เรน เป็นตลาดที่สำคัญของไทยในภูมิภาคตะวันออกกลาง เพราะเป็นประเทศที่ประชาชนมีกำลังซื้อในระดับสูง เนื่องจากเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ประเทศหนึ่ง นอกจากนี้ไทยยังมีข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-บาห์เรน จึงทำให้สินค้าไทยเสียภาษีในระดับต่ำสร้างความได้เปรียบมากกว่าประเทศคู่แข่งและทำให้ผู้ประกอบการชาวไทยสามารถเข้าไปทำตลาดได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่ม อาหาร สุขภาพ และความงาม ที่ถือได้ว่ามีความต้องการอยู่ในระดับสูง
  

 รวมทั้งประเทศบาห์เรนยังสามารถเป็นประตูการค้าและการลงทุนให้ไทยไปตะวันออกกลาง โดยเฉพาะประเทศในคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council : GCC) ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, กาตาร์, คูเวต, โอมาน และบาห์เรน รวมถึงแอฟริกาตอนเหนือ เอเชียใต้ และเอเชียกลาง
    

นายวีระพงศ์ กล่าวว่า สสว.และ ส.อ.ท.ยังจะมีการจัดงาน “ไทยทำไทยช้อปไทยใช้” Made in Thailand ผ่านทางเว็บไซต์ Shopee.com ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม-15 กันยายน 2564 งานที่รวบรวมสินค้าจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกว่า 1,000 รายการ อาทิ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ของใช้ และของตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องเขียนและอุปกรณ์การเรียน สิ่งทอเครื่องนุ่งห่ม และของขวัญของที่ระลึก พร้อมแจกโค้ดส่วนลดร้านค้ากว่า 50,000 บาท ซึ่งทั้งหมดเป็นสินค้าที่ได้รับการรับรอง Made in Thailand ทั้งสิ้น ผู้สนใจสามารถเลือกชมและซื้อสินค้าได้ที่ https://shopee.co.th/mitshopcampaign2021
    

นอกจากการร่วมมือกับ ส.อ.ท. ในเรื่องความร่วมมือขยายตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศแล้ว ในส่วนของตลาดการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ก็เป็นตลาดภายในประเทศที่สำคัญในการเข้ามาช่วยเพิ่มยอดขายให้กับเอสเอ็มอีในปีนี้ โดย สสว.จะเร่งผลักดันให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ตลาดและได้รับงานจากภาครัฐมากขึ้น ซึ่งได้วางเป้าหมายให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้ามาลงทะเบียนเข้าโครงการนี้ 1 แสนราย และมียอดขายรวมไม่ต่ำกว่า 4 แสนล้านบาท
  

 ในระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สมัครเข้าร่วมโครงการแล้วประมาณ 55,000 ราย และมียอดขายในโครงการรวมแล้วกว่า 1.27 แสนล้านบาท ซึ่งขณะนี้ยังมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ยังทยอยลงทะเบียนต่อเนื่อง คาดว่าจะได้จำนวนผู้ประกอบการที่เข้าโครงการ และยอดขายของเอสเอ็มอีได้ตามเป้าอย่างแน่นอน.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"