นี่แหละมหาราชครู พระองค์ไม่เคยกริ้ว


เพิ่มเพื่อน    

ศาสตราจารย์ระพี สาคริก อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, อดีตนักดนตรีวง อ.ส. ให้สัมภาษณ์ทีมข่าวไทยโพสต์ไว้เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2559 ก่อนท่านจะล่วงลับ การสัมภาษณ์คราวนั้นอาจารย์ระพีได้พูดถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในสถานการณ์ที่ไม่เคยมีใครได้ล่วงรู้มาก่อน นั่นคือเหตุการณ์ที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่ เมื่อหลายสิบปีก่อน

...สมัยผมดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีฝ่ายบริหารมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็มีนโยบายบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มากกว่าพัฒนาวัตถุสิ่งก่อสร้าง มีอยู่วันหนึ่งพระองค์ท่านมาทรงดนตรีที่เกษตรฯ มีนิสิตคนหนึ่งชื่อ สุเทพ ลักขณาวิเชียร ประธานสภานิสิตเกษตรฯ มายื่นซองขาวถวายฎีกา ช่วงที่ประทับทรงดนตรี ในหลวงทรงรับซองแล้วส่งให้คนด้านหลัง ไม่ได้สนใจ

ต่อมาอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีคำสั่งให้คัดชื่อนักศึกษาผู้นี้ออก ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นในหลวงเสด็จฯ มาที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่ ทรงมาที่สวนสองแสนที่อยู่ข้างๆ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ที่ทรงซื้อจากชาวบ้านคนหนึ่งราคา 2 แสนบาท และพระราชทานให้มหาวิทยาลัยเกษตรฯ พัฒนาวิจัยพืช แต่วันนั้นไม่มีใครไปรับเสด็จเลย มีแต่ผมคนเดียวยืนพิงลวดหนามข้างประตู

จนเวลา 4 โมงเย็นได้ยินเสียงฝีพระบาทมากันหลายพระองค์ ในหลวง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พร้อมด้วยเจ้าฟ้าหญิงสองพระองค์ และหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี พระองค์ท่านมีรับสั่งกับผม ไม่เปลี่ยนจริงเหรอ  ตอนนั้นผมเป็นรองอธิการบดีไม่ทราบเรื่องนี้ แต่จะกราบทูลว่าไม่ทราบก็ไม่ได้ จึงได้แต่กราบที่พระบาท

"สถานที่ที่ผมได้เข้าเฝ้าฯ เป็นเรือนมีบันได ทรงให้พระเจ้าลูกยาเธอและลูกยาเธอ 4 พระองค์ยืนกอดพระอุระไว้ที่เชิงบันได เหมือนกับกันไว้ไม่ให้ใครเข้ามารบกวน หลังจากนั้นจึงตรัสถามผมถึงเรื่องนี้ มีรับสั่งถาม หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โทษคืออะไร มีรับสั่งครั้งที่สาม ถ้าจะให้ฉันตัดสิน เด็กคนนั้นไม่ได้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรอก มหาวิทยาลัยเกษตรฯ ต่างหากที่หมิ่น จากรับสั่งนั้นจึงมีการนำมาสู่อธิการบดีเปลี่ยนคำสั่งให้นิสิตรายนั้นเป็นผิดวินัย เรื่องเรียบร้อยไป ในวันนั้นโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโต๊ะเสวยอาหารหลังพระตำหนัก ซึ่งมีผมระพีนั่งร่วมโต๊ะด้วย ทรงเปิดเพลงความฝันอันสูงสุดให้ฟัง

นี่แหละมหาราชครู พระองค์ไม่เคยกริ้ว ทรงมีพระเมตตามาก นิสิตคนนั้นมารู้เรื่องนี้ทีหลัง  ผมตามหาลูกศิษย์คนนี้มา 15 ปีไม่เจอตัว เพราะเขาหนีเข้าป่าและบวชเป็นพระในเวลาต่อมา มาเจอตอนเป็นพระแล้ว เขาเล่าว่าวันนั้นแม่ฟังข่าวเขาทางวิทยุตอนกำลังจะหุงข้าวพอดี ถึงกับตกใจทำหม้อที่เป็นหม้อดินตกแตก เพราะเขาเป็นความหวังของแม่ ว่าเรียนจบแล้วจะส่งน้องๆ เรียนต่อได้ เขาบอกอีกว่ายังคิดว่าผมเป็นคนช่วยเขา ไม่รู้ว่าในหลวงท่านเป็นคนช่วย"

มาทราบทีหลังว่าพระองค์ท่านทรงร้อนพระราชหฤทัยมาก ทรงมีความพยายามที่จะมีโอกาสพบกับผมในการเสด็จฯ ต่างๆ แต่ก็คลาดกันไปตลอด เนื่องจากบางครั้งผมติดภารกิจ ทำให้ไม่ได้เข้าเฝ้าฯ จนกระทั่งมีงาน......ที่เชียงใหม่จึงได้เข้าเฝ้าฯ

ในช่วงที่ไปสัมภาษณ์ อาจารย์ระพีอยู่ในวัย 95 ปี เล่าว่าในหลวงยังทรงงานทุกวัน ทำให้อาจารย์เองก็ไม่หยุด ยังพักไม่ได้ อยากทำงานถวายในหลวงอีกเรื่อง ในหลวงทรงห่วงใยปัญหาชายแดนใต้ อาจารย์จึงเดินทางไป จ.ปัตตานี มีประชาชนใส่เสื้อเหลืองเสื้อแดง ก็ลงไปช่วยชี้แนะพูดคุย

คนบอกว่าผมมีความคิดเหมือนในหลวง ให้ไปช่วยพูดเกี่ยวกับในหลวง เกี่ยวกับโครงการหลวง เพื่อให้ประชาชนในชายแดนใต้เข้าใจมากขึ้น
"มีหลายคนมาพูดกับผม อาจารย์ต้องอยู่นะ อย่าร้องไห้เลย เราฝากความหวังไว้ที่อาจารย์ ผมยังต้องสานงานของพระองค์ต่อไป เมื่อเช้าก็นำโคลงบทหนึ่งมาอ่าน 'เพื่อนกิน สิ้นทรัพย์แล้ว แหนงหนี หาง่าย หลายหมื่นมี มากได้ เพื่อนตาย ถ่ายแทนชี-วาอาตย์ หายาก ฝากผีไข้ ยากแท้จักหา' เป็นร้อยกรองที่ทำให้นึกถึงแววตาของพระองค์ท่าน ท่านเหมือนเพื่อน ท่านคิดอย่างเดียวกับที่ผมคิดกับเด็กเกษตรฯ  เด็กเกษตรฯ คือเพื่อนผม เพราะพ่อแม่ฝากเรามา ต้องดูแลเหมือนเป็นพ่อแม่อีกคน" ศ.ระพีกล่าวและว่า จะขอทำงานติดตามใต้ฝ่าพระบาทไปในที่สุด


จากประสบการณ์ถวายงานสมัยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ศ.ระพีเล่าว่า  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทรงงานหนัก พระองค์ท่านทรงใช้ชีวิตออกไปทำงานและเยี่ยมเยียนชาวเขา ให้ปลูกพืชเศรษฐกิจพวกผลไม้และพันธุ์ไม้เมืองหนาวที่ จ.เชียงใหม่

ช่วงนั้นผมตามเสด็จตลอดเวลา พระองค์ท่านให้ผมทำงานเรื่องกล้วยไม้ แต่เป็นเรื่องการเมือง ในช่วงนั้นทางจีนแผ่นดินใหญ่กับรัฐบาลจีนไต้หวันก็ยังเข้ากันไม่ได้ แต่ผมคิดว่าอย่างไรเสียเขาก็ทิ้งกันไม่ลงหรอก

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดโต๊ะเสวยอาหารกลางวันเลี้ยงแขกภายในพระตำหนักภูพิงค์ จ.เชียงใหม่ วันนั้นประธานกรรมการทหารอาสาของจีนไต้หวันมาร่วมด้วย ซึ่งผมก็นั่งอยู่ด้วย

พระองค์ท่านได้มีพระราชดำรัสกับผมว่า...
อาจารย์ระพี เขามาช่วยเรา เราควรไปดูของเขาบ้าง เรื่องกล้วยไม้ของไทยให้ไปช่วยเขาบ้าง เพราะโครงการหลวงที่ดอยอ่างขาง เขาก็ส่งคนมาช่วยเรา ทำให้วงการกล้วยไม้ของไต้หวันเติบโตขึ้น....

หลังจากนั้นผมก็เดินทางไปดูงานส่งเสริมการปลูกกล้วยไม้ รวมทั้งการเกษตรอื่นๆ ที่กรุงไทเป ก็ช่วยแนะนำ เพราะคนจีนไต้หวันปลูกกล้วยไม้บนดาดฟ้าตึก มีหลังคาคลุมข้างบน กล้วยไม้มันได้แสงไม่พอ ก็เจริญเติบโตแข็งแรงไม่พอ ก็แนะให้สร้างเรือนกระจกขึ้นบนพื้นดอน แล้วให้เปิดกว้าง สนใจคบกับต่างชาติให้มากขึ้น ยังจำได้ผมเดินทางไปจีนแผ่นดินใหญ่ก็ได้พบกับคนจีนไต้หวันไปทำสวนปลูกต้นไม้อยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ด้วย คนกลุ่มนี้ค้าขายกันทางทะเล เขาส่งดอกไม้จากจีนแผ่นดินใหญ่ผ่านไทย แล้วผ่านไปเข้าจีนไต้หวัน ถ้าไม่ทำอย่างนี้ขายไม่ได้

ก็มีคนจีนไต้หวันมาขอร้องให้ผมพูดกับเจ้าหน้าที่ตรวจพืชไทยว่า ถ้าเห็นพวกเขาส่งดอกไม้เข้าเมืองไทยขอให้ปล่อยเพื่อจะได้ส่งไปขายที่ไต้หวันโดยไม่ผิดกฎหมาย มาวันนี้ดีใจที่ได้เห็นจีนไต้หวันกับจีนแผ่นดินใหญ่มีความสัมพันธ์ระหว่างกัน วัฒนธรรมจีนนั้นทิ้งกันไม่ได้ ก็เป็นอีกงานที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านจนทุกวันนี้

"แม้พระองค์ท่านจะเสด็จสวรรคตแล้ว ผมจะสานงานการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป และไม่อยากให้กระแสเราจะทำความดีเพื่อในหลวงมันจบ".


 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"