ผลการศึกษาของหน่วยงานคลังสมองในกรุงวอชิงตันเผย เกาหลีเหนือยังคงดำเนินกิจกรรมในฐานมิสไซล์ลับที่ไม่เปิดเผย เพื่อปิดบังมิสไซล์เคลื่อนที่ที่สามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ ในช่วงยามที่ความริเริ่มนโยบายต่างประเทศในแบบฉบับของโดนัลด์ ทรัมป์ หยุดชะงัก

แฟ้มภาพ คิม จองอึน (ซ้าย) และโดนัลด์ ทรัมป์ / AFP

    ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐจัดการประชุมสุดยอดกับคิม จองอึน ที่สิงคโปร์เมื่อเดือนมิถุนายนปีนี้  โดยผู้นำสูงสุดของเปียงยางให้คำมั่นว่าเกาหลีเหนือพร้อมจะล้มเลิกอาวุธนิวเคลียร์ แล้วหลังจากนั้นเกาหลีเหนือก็ได้ทำลายแหล่งทดลองนิวเคลียร์ใต้ดิน 1 แห่ง ทั้งยังให้คำมั่นจะทำลายโรงปฏิกรณ์นิวเคลียร์หลักของตนหากสหรัฐยอมผ่อนปรนให้

    แต่เมื่อวันจันทร์ เอเอฟพีรายงานว่านักวิจัยจากศูนย์ยุทธศาสตร์และนานาชาติศึกษา (ซีซิส) ในกรุงวอชิงตัน กล่าวกันว่า พวกเขาพบที่ตั้งของฐานปฏิบัติการมิสไซล์ 13 แห่งที่รัฐบาลเกาหลีเหนือไม่เคยประกาศต่อชาวโลก และอาจเป็นไปได้ว่าฐานแบบนี้อาจมีมากถึง 20 แห่ง

    วิกเตอร์ ชา หัวหน้าโครงการเกาหลีเหนือของซีซิส กล่าวกับนิวยอร์กไทมส์ซึ่งรายงานข่าวผลการศึกษานี้ว่า เป็นหลักฐานของการต้มตุ๋นครั้งใหญ่ของเกาหลีเหนือที่ฐานเหล่านี้ยังคงถูกใช้งานอยู่

    "สิ่งที่ทุกคนกังวลกันในเรื่องนี้ก็คือ ทรัมป์กำลังจะยอมรับข้อตกลงแย่ๆ พวกเขายอมทำลายแหล่งทดสอบ 1 แห่งและรื้อสถานที่อีก 1-2 แห่ง แต่พวกเขาได้ความตกลงสันติภาพเป็นสิ่งตอบแทน" นักวิจัยที่เคยมีชื่ออยู่ในข่ายรับตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำเกาหลีใต้กล่าว

    ด้านรัฐบาลเกาหลีใต้และนักวิเคราะห์หลายรายไม่ตื่นเต้นกับรายงานนี้นัก โดยกล่าวว่าพวกเขารู้เกี่ยวกับฐานเหล่านี้มานานหลายปีแล้ว และเกาหลีเหนือก็ไม่เคยเสนอจะรื้อทำลาย  

    นักวิจัยของซีซิสกล่าวกันว่า ฐานมิสไซล์เหล่านี้เป็นอุโมงค์ใต้ดินในหุบเขาแคบๆ ที่อยู่กระจัดกระจายทั่วประเทศ ถูกออกแบบมาเพื่อให้การเคลื่อนย้ายเครื่องยิงมิสไซล์เคลื่อนที่ไปยังฐานปล่อยกระทำได้อย่างรวดเร็ว ส่วนฐานสำหรับอาวุธเชิงยุทธศาสตร์เช่นขีปนาวุธข้ามทวีป ซึ่งเป็นเป้าหมายการคว่ำบาตรนั้นตั้งอยู่ลึกในดินแดนชั้นใน

    รายงานกล่าวว่า มิสไซล์พิสัยกลางที่สามารถโจมตีญี่ปุ่นและทั่วพื้นที่ของเกาหลีใต้นั้นถูกวางกำลังไว้ในแถบปฏิบัติการ 55-100 ไมล์ ทางเหนือของเขตปลอดทหาร ส่วนมิสไซล์พิสัยใกล้นั้นถูกวางกำลังไว้ในแถบยุทธการ ระยะ 30-55 ไมล์จากเขตปลอดทหาร คณะนักวิจัยอ้างอิงการค้นพบฐานเหล่านี้จากภาพถ่ายดาวเทียม, คำให้สัมภาษณ์ของชาวเกาหลีเหนือแปรพักตร์ และถ้อยคำของเจ้าหน้าที่รัฐบาลและข่าวกรอง.