คนหัวร้อน


เพิ่มเพื่อน    

คนหัวร้อน

โดย จิตติมา กุลประเสรืฐรัตน์ ([email protected])

น้องแว่นหัวร้อนที่เป็นข่าวดังเมื่อสัปดาห์ก่อน สะท้อนภาพอะไรในสังคม เริ่มจาก น้องแว่นที่เติบโตและได้รับการศึกษาจากต่างแดน ใม่ใช่เรื่องแปลกที่พ่อแม่ยุคนี้ถ้ามีเงิน มีโอกาสก็มักจะส่งลูกไปศึกษาต่อต่างประเทศ เด็กก็จะได้รับค่านิยมและบทบาทตามวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ เช่น การกล้าแสดงความคิดเห็น และมีแนวคิดต่างๆที่เป็นของตัวเอง  ถามว่าผิดหรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องผิด และมีคนอีกมากมายที่คิดเหมือนน้องแว่น เพียงแต่มีความรุนแรงและรูปแบบตลอดจนสถานการณ์ในการแสดงออกที่แตกต่างกัน น้องแว่นอาจเหมือนเด็กอีกหลายคนที่ไม่ได้รับการฝึก EF ตั้งแต่เด็ก ทำให้ขาดการยับยั้งงชั่งใจ อดทนอะไรไม่ได้ รอคอยอะไรไม่เป็น ซึ่งเป็นคำนิยามของคน Gen ME ทั่วไปนั่นเอง

เรื่องต่อมาคืออาการป่วยของน้องแว่น ซึ่งถ้าดูแล้วจะเห็นเลยว่าเขาไม่ปกติ แต่ผู้คนในสังคมก็ไม่พร้อมที่จะเข้าใจ กลับเหยียบย่ำซ้ำเติม ลามไปถึงบุพการีและภรรยาของน้องแว่น ซึ่งเป็นการลุกล้ำสิทธิส่วนบุคคลและเป็นการซ้ำเติมอาการป่วยให้แย่ลงกว่าเดิม บางคนบอกว่า “พอทำผิดก็อ้างว่าป่วย” จริงๆแล้วไม่ใช่การอ้างแต่เป็นการป่วยที่สังคมไม่ยอมรับต่างหาก แม้แต่คนที่โจมตีน้องแว่นแบบไม่มีเหตุผล หรือ บรรดาผู้คนที่ไปเฝ้ารอและตะโกนว่าครอบครัวน้องแว่นที่หน้าสถานีตำรวจ หากพิจารณาดูดีๆคนเหล่านี้ก็น่าจะป่วย คือนอกจากไม่มีความเห็นอกเห็นใจแล้ว ยังพร้อมที่จะเหยียบย่ำซ้ำเติมให้จมดิน ตัดสินคนที่คำพูดและการกระทำ โดยไม่ดูปริบท ขาดความเมตตาอย่างเห็นได้ชัด

แทนที่จะไปขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวหรือสมน้ำหน้าตามเหยียบย่ำซ้ำเติมทางสังคมออนไลน์ อันเป็นการ Bully ทาง Internet อย่างหนึ่ง เรามาสอนลูกหลานและคนในครอบครัวโดยการอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นและทดสอบความรู้สึกของลูกหลานเรา หากเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเรา เรามีวิธีจัดการกับอารมณ์ตัวเองอย่างไร ตลอดจนให้ทุกคนสวมบทบาทเป็นน้องแว่นที่มีอาการป่วยและสังคมไม่เข้าใจ ต้องถูกไล่ออกจากงาน ต้องโดนคนประณามด่าทอไปถึงบุพการีและผู้ที่เกี่ยวข้อง จนแทบจะไม่มีที่ยืนในสังคม ถ้าเราเป็นน้องแว่นหรือเป็นญาตพี่น้องเขาจะรู้สึกอย่างไร คนที่ไม่เคยป่วยหรือมีญาติที่ป่วยเป็นโรคนี้ก็จะไม่เข้าใจและมักจะโต้แย้งว่า ป่วยก็ไปรักษาสิ แต่การรักษาโรคนี้ไม่ใช่การกินยาเพื่อฆ่าเชื้อโรคแล้วจะหายได้เหมือนโรคติดเชื้อทั่วไป ต้องอาศัยระยะเวลาและความเข้าใจของคนรอบข้างอย่างมาก

อยากจะให้ทุกคนทำความเข้าใจว่าสังคมนี้ หรือประเทศนี้ไม่ใช่ของเราเพียงผู้เดียว ทุกคนในสังคมหรือบุคคลที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมีสิทธิและเสรีภาพในการอยู่ร่วมกันเท่าๆกันทุกคน ไม่มีใครมีสิทธิที่จะขับไล่ใครออกจากสังคมเพียงเพราะเขามีอาการป่วย เขาคิดต่างเห็นต่าง หรือเขามีสถานภาพทางสังคมที่แตกต่างจากเรา การอยู่ร่วมกันในสังคมต้องอยู่แบบเข้าใจซึ่งกันและกัน ให้โอกาสคนผิดได้แก้ตัว มีเมตตาต่อกัน ไม่ใช่อยู่ด้วยการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น ไม่พอใจคัดออก ถ้าคนในสังคมพากันคิดแบบนี้ สังคมไทยก็จะมีแต่คนหัวร้อนเพิ่มขึ้นดังที่เห็นเป็นข่าวอยู่ทุกวันนี้ ต่อไปนี้เมื่อเห็นข่าวคนหัวร้อน ช่วยพิจารณาปริบทและช่วยกันแสดงความคิดเห็นในเชิงสร้างสรรค์ไม่ใช่เพื่อความสะใจ เอาใจเขามาใส่ใจเรา ร่วมด้วยช่วยกันสร้างวัฒนธรรมในการแสดงความคิดเห็นแบบไม่เจือปนยาพิษให้สังคมกันดีกว่า


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"