'จตุพร' ฟาด 'เศรษฐา' มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก!


11 พ.ย.2566 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กถึงโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ของรัฐบาลนายเศรษฐษ ทวีสินว่า ขาดความชัดเจน ไม่ตรงปกหาเสียง และยังไร้สัจจะที่ยืนยันไม่กู้เงิน จึงสะท้อนเจตนาไม่หวังความสำเร็จของโครงการนี้

นายจตุพร ยกคำกล่าวของทักษิณ ชินวัตร ที่วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สมัยเป็นนายกฯ โดยกู้เงินมาบริหารจัดการเศรษฐกิจของประเทศว่า “เติมเศรษฐกิจให้แข็งแรง ทำอะไรกระตุ้นเศรษฐกิจ เอาเงินไปแจก ผมว่าปัญญาอ่อน ถ้ามีปัญญาเขาไม่แจก เขาใช้เงินไปสร้างเศรษฐกิจให้เศรษฐกิจแข็งแรง หรือยังขายวัคซีนไม่จบ”

สิ่งสำคัญ นายจตุพร นำคำพูดของทักษิณ มาโยงถึงการบริหารงานของนายเศรษฐา ที่แถลงจะออก พรบ.กู้เงินจำนวน 5 แสนล้านบาทมาดำเนินการโครงการแจกเงินดิจิทัลหมื่นบาท พร้อมกับกู้อีก 1 แสนล้านบาทมาจัดการโครงการเกี่ยวเนื่อง (รวมกู้ 6 แสนล้านบาท) ทั้งๆ ที่เคยประกาศในช่วงหาเสียงว่า โครงการนี้จะไม่มีการกู้เงิน

“ช่วงหาเสียงนายเศรษฐา ยืนยันไม่กู้เงินมาแจกตามโครงการดิจิทัล อีกทั้งรายงานชี้แจงนโยบายของพรรคเพื่อไทยต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าแหล่งที่มาของเงินจะใช้เงินงบประมาณ แต่วันนี้ก็จะกู้เงินเสียแล้ว”

อีกทั้ง ระบุว่า สิ่งที่ได้เห็น คือ นายเศรษฐา แถลงกำหนดวันเริ่มแจกเงินในเดือน พ.ค. 67 ซึ่งก่อนหน้านี้นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง บอกแจกเดือน ก.พ. 67 และนายพิชัย ชุณหวชิร ที่ปรึกษานายกฯ ระบุแจกในเดือน ก.ย. 67 ดังนั้น ทั้งสามคนพูดถึงวันเริ่มโครงการไม่ตรงกัน แสดงถึงเจตนาไม่จริงใจเป็นเบื้องต้น

ส่วนการกู้เงินนั้น นายจตุพร กล่าวว่า หากต้องการหวังผลให้โครงการสำเร็จต้องกู้โดยการออกพระราชกำหนด (พรก.) เพื่อความรวดเร็ว ไม่ใช่เสนอเป็นพระราชบัญญัติ (พรบ.) ซึ่งทำให้ล่าช้า เพราะสิ่งสำคัญการเสนอ พรบ.กู้เงิน 6 แสนล้านบาทตามกระบวนการต้องผ่าน สภา สส. 3 วาระ แล้วเสนอ สภา สว.อีก 3 วาระ คงใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะมุ่งหวังให้โครงการสำเร็จครบถ้วน อีกอย่างเงินทุกบาทที่กู้มากำหนดให้ประชาชนใช้จ่ายซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคเท่านั้น ย่อมมีโอกาสให้เงินไหลเข้าเอกชนรายใหญ่ผู้ผลิตสินค้าผูกขาดหมดเลย

“การกำหนดแจกเงิน พ.ค. 67 ไปสอดคล้องกับวาระ สว.จะหมดลงใน 11 พ.ค. ด้วย ปัญหาจึงอยู่ว่า ดิจิทัลจะตายตกไปตามนายเศรษฐาหรือไม่ ดังนั้น นายเศรษฐาจะอยู่ถึงวันได้แจกเงินหรือไม่ เพราะกำหนดแจก พ.ค. คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ รวมทั้งเดือนเริ่มแจกไม่สมเหตุสมผลกับการใช้เงิน โดยประชาชนไม่มีเหตุหรือวันหยุดยาวช่วงเทศกาลให้กลับบ้านไปใช้เงินได้ สิ่งนี้จึงเป็นช่องโหว่ให้เจตนาไม่ดีแทรกซ้อนได้”

นายจตุพร กล่าวว่า นอกจากนี้การกำหนดให้ใช้ใน 6 เดือนภายในพื้นที่อำเภอตามทะเบียนบ้าน แต่ประชาชนออกมาทำงานนอกพื้นที่กันมาก ย่อมขาดโอกาสได้กลับบ้านไปใช้เงินดิจิทัลอย่างชัดเจน อีกทั้งการไม่ให้ใช้ชำระหนี้ เช่น จ่ายค่าเทอม ค่าเช่า-ซื้อบ้าน หรือชำระค่าน้ำค่าไฟ เติมน้ำมัน รวมถึงจ่ายค่าเดินทาง ดังนั้น โครงการนี้จึงไม่สามารถแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้เลย

พร้อมกับย้ำการกู้เงินว่า รัฐบาลนายเศรษฐา หวังกู้เงินหลายครั้งในปีงบประมาณ 67 (งบประมาณที่เสนอ 3.48 ล้านล้านบาท) ออกแบบไว้เป็นงบประมาณขาดดุล จึงต้องกู้เงินมาเติมให้สมดุล แล้วยังต้องมากู้เพื่อทำโครงการเงินดิจิทัลอีก 6 แสนล้านบาท และยังตามมาด้วยการกู้มาใช้หนี้อีก ดังนั้น ในช่วงใช้หนี้เงินกู้ 4 ปีจึงมีจำนวนมหาศาล ซึ่งนักการเงินการธนาคารคงประเมินจำนวนได้เป็นรูปธรรมชัดเจนที่ประชาชนต้องแบกหนี้เงินกู้มาแจกใช้ใน 6 เดือน

"ประชาชนอาจไม่ได้เงินแจกเลยก็ได้ เพราะดูแล้วรัฐบาลไม่มีความมั่นใจอะไรสักอย่าง คนเราเมื่อทรนงองอาจยื่นแถลงบนโพเดียม แต่ไม่ให้นักข่าวถาม ซึ่งดูเหมือนไม่พร้อมตอบหรือไม่รู้เรื่องในสิ่งที่จะทำ จึงเลี่ยงการชี้แจง สิ่งที่น่าคิดคือ นายเศรษฐา จะทำจริงหรือไม่ หรือต้องการเปิดช่องให้ผู้รู้ไปยื่นร้องต่อ ศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการแจกเงินจึงแสดงถึงไม่ต้องการความสำเร็จ อีกอย่าง พรบ.งบประมาณ ปี 67 ยังไม่ถูกเสนอเข้าสภา ยังมาตั้งแท่นเสนอ พรบ.กู้เงินอีก"

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อรัฐบาลทำโครงการแจกเงินดิจิทัลไม่เป็นไปตามหาเสียงกับประชาชนไว้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า นายเศรษฐา พูดอย่างทำอย่าง ไม่ตรงปก ไร้สัจจะ และอธิบายไม่แตกต่างจากพวกมะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก หลบเลี่ยงไปได้เสมอ แต่คนไทยก็ไม่รู้สึกรู้สากับการกู้เงินจำนวนมากถึง 6 แสนล้านบาท ดังนั้น จึงเป็นเรื่องผิดปกติ

"แจกใน พ.ค. 67 สะท้อนถึงการไม่เอาจริง โดยไม่คาดหวังผลสำเร็จ และยังเป็นช่วง สว.ครบวาระ ถ้าเศรษฐาไม่รอดโครงการนี้ก็จะไปพร้อมกัน เพราะ พรบ.กู้เงินอาจถูกคว่ำในชั้นพิจารณาของ สว.ก็ได้ จึงทำให้น่าคิด คนที่ช่วยเหลือให้เป็นนายกฯ ได้ทวงเอานายกฯ กลับคืน” นายจตุพร ย้ำ

ส่วนการแถลงผลงานรัฐบาลในช่วง 2 เดือนนั้น นายจตุพร กล่าวว่า นายเศรษฐา แจงผลงานนายกฯ ในช่วง 60 วันได้อย่างน่าทึ่งว่า เดินทางไปต่างประเทศ 8 ประเทศ และอีก 15 จังหวัดของไทย เช่น ไปเปิดงานบุญพญานาคแม่น้ำโขงที่นครพนม ซึ่งไม่เกิดแรงเหวี่ยงในด้านเศรษฐกิจ แล้วยังเป็นผลงานนามธรรม ไม่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นหรือในจังหวัดได้เลย แค่สะท้อนถึงการไม่เที่ยว ไปโชว์ตัวนายกฯ เท่านั้น

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ศิริกัญญา' มอง 'ขุนคลังคนใหม่' ทำงานได้เต็มที่ ไม่ต้องแบ่งเวลามาเป็นเซลส์แมนประเทศ

น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.)ในส่วนของกระทรวงการคลัง ว่า ปรากฎว่ามีรัฐมนตรีในกระทรวงการคลังถึง 4 คน ซึ่งน่าจะมากที่สุดในประวัติศาสตร์ อันที่จริงกรมในกระทรวงก็มีไม่ได้มากคงแบ่งกันดูแลคนละกรมครึ่ง

'เพื่อไทย' จ่อเคลียร์ใจ 'ปานปรีย์' ชวนนั่งกุนซือพรรค ไม่รู้ 'นพดล' เสียบแทน

'เลขาฯ เพื่อไทย' รับต้องคุย 'ปานปรีย์' หลังไขก๊อกพ้น รมว.ต่างประเทศ แย้มชงนั่งที่ปรึกษาพรรค มั่นใจไม่เกิดแรงกระเพื่อม ปัดวางตัว 'นพดล' เสียบแทน ชี้ 'ชลน่าน-ไชยา' หน้าที่หลักยังเป็น สส.

พท. จัดใหญ่! '10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10' ตีปี๊บผลงาน 'รัฐบาลเศรษฐา'

'เพื่อไทย' เตรียมจัดงาน '10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10' สรุปผลงาน 'รัฐบาลเศรษฐา' 3 พ.ค.นี้ เดินหน้าเติมนโยบายที่สัญญาไว้กับประชาชน พร้อมเปิดตัวผู้สมัครนายก อบจ.

‘เศรษฐา’ แจงยิบปรับครม. ขอโทษ ‘ปานปรีย์’ ทำให้ไม่สบายใจ บอกมีคนแทนในใจแล้ว

‘เศรษฐา’ เผย ส่งข้อความผ่านกลุ่มงานต่างประเทศขอโทษ ‘ปานปรีย์’ ถ้าทำให้ไม่สบายใจ บอกได้คุยกันก่อนปรับ ครม.แล้ว ชี้มีทั้งคนสมหวัง-ผิดหวัง พร้อมรับผิดชอบ แย้มมองหาคนใหม่ตั้งแต่เมื่อคืน ดีกรี การทูต-การเมือง ทำงานเบื้องหลัง’เพื่อไทย’ มานาน

‘จตุพร’ ซัดอำนาจเบื้องหลังปรับครม. ยังมีจิตปกติหรือไม่ แนะไปตรวจสุขภาพจิต

‘จตุพร’เย้ยอำนาจเบื้องหลังปรับ ครม.ยังมีจิตปกติหรือไม่ แนะรีบไปตรวจสุขภาพจิต อ้างเขี่ยทิ้งชลน่าน สะท้อนเอาแต่ใจตัวเอง ไม่มีมาตรฐานอารมณ์ ส่วน ‘ปานปรีย์’ลาออก รมต.ต่างประเทศ บอกความนัยคนจริง ยึดหลักการ สั่งซ้ายหันขวาหันไม่ได้