
จากการสำรวจพื้นที่ในจ.น่าน กว่า 7.6 ล้านไร่ โดยประมาณ 85% หรือราว 6.4 ล้านไร่เป็นพื้นที่ป่าสงวน ซึ่งยังเป็นแหล่งป่าต้นน้ำสำคัญ อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจในปี 2558 พบว่าพื้นที่ป่าสงวนของจังหวัดน่านลดลงเหลือเพียง 4.5 ล้านไร่ หรือเท่ากับมีการสูญเสียพื้นที่ไปถึง 1.8 ล้านไร่ หรือประมาณ 28% ของพื้นที่ป่าสงวนทั้งหมด สาเหตุหลักมาจากรายได้ครัวเรือนที่ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ส่งผลให้ชาวบ้านจำเป็นต้องขยายพื้นที่ทำกินเพื่อเพิ่มรายได้ ประกอบกับความต้องการของตลาดที่ผลักดันโดยนายทุน ทำให้การบุกรุกพื้นที่ป่าเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนถึงขั้นที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้
ดังนั้นจากการสูญเสียป่าสงวนกว่า 28% โครงการน่านแซนด์บอกซ์ จึงเกิดขึ้น โดยเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อค้นหาวิธีการที่คนกับป่าสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน โครงการนี้มีเป้าหมายในการฟื้นฟูป่าต้นน้ำและพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวบ้านในพื้นที่ ภายใต้แนวทางที่สมดุลระหว่างการรักษาป่าสงวนและการดำรงชีพของประชาชน โดยนำแนวทาง 72:18:10 มาใช้ในการจัดสรรพื้นที่ทำกินในป่าสงวน ซึ่งหมายถึง 72% เป็นพื้นที่ป่าเดิมที่ต้องรักษาไว้, 18% เป็นพื้นที่ คทช. ในลุ่มน้ำ 1-2 ที่จะฟื้นฟูด้วยการปลูกป่าขนาดใหญ่ 100 ต้นต่อไร่ พร้อมสนับสนุนการปลูกพืชเศรษฐกิจใต้ต้นไม้ใหญ่ และ 10% เป็นพื้นที่ คทช. ในลุ่มน้ำ 3-4-5 ที่อนุญาตให้ปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อความยั่งยืน โดยยังคงรักษาสถานะป่าสงวนตามกฎหมาย

เพื่อให้เกิดการใช้พื้นที่ป่าอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นเหตุผลให้”สถาบัน เค อะโกร-อินโนเวท” ภายใต้”มูลนิธิกสิกรไทย” เกิดแนวคิดการทำ “พืชเป็นยา” ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตรและรายได้ให้กับชาวบ้านในพื้นที่ โดยหนึ่งในชนิดพืชที่ได้มีการวิจัยพัฒนาส่งเสริมคือ “ขมิ้นชัน” โดยมีการส่งเสริมและพัฒนาร่วมกับองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ภายใต้โครงการ PLANTXGPO ในแนวคิด “GPO PLANT BASED MEDICINE” มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรของอภ. เป็นการร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ทั้งรัฐ เอกชน ในการที่จะเพิ่มมูลค่าสมุนไพรไทย เป็นยาและผลิตภัณฑ์ส่งเสริมสุขภาพจากพืช
โดยผลิตภัณฑ์จากสารสกัดขมิ้นชัน มีชื่อว่า “นันท์ จีพีโอ – โกลบิเน็กซ์” สำหรับช่วยลดความรุนแรงของภาวะเครียดออกซิเดชัน และใช้เสริมการรักษาเพื่อลดความรุนแรงของภาวะเหล็กเกินและภาวะอักเสบ ในผู้ป่วยโรคเบต้าธาลัสซีเมีย

ภญ.วิลักษณ์ วังกานนท์ รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า การดำเนินงานภายใต้โครงการ PLANTXGPO เพื่อเพิ่มมูลค่าสมุนไพรไทย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศ รวมทั้งส่งเสริมให้มีงานนวัตกรรมด้านสมุนไพร อภ. ได้มีการวิจัยและพัฒนาเพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในประเทศและตลาดต่างประเทศ โดย แบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็น 3 หมวด ประกอบด้วย 1. หมวดยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสารสำคัญจากพืชเป็นหลัก (Plant based drugs and supplements) เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ด้านการกีฬา อาทิ สเปรย์สมุนไพรที่มีส่วนผสมของไพลสำหรับพ่นเพื่อคลายกล้ามเนื้อ และบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย, ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเสริมอาหารสารสกัดขมิ้นชันสูตรเสริมความแข็งแรงของกระดูกและข้อ (Ca-Curmin) , ผลิตภัณฑ์สมุนไพรบำรุงร่างกาย เป็นต้น 2. Plant based cosmetics ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ Luminous botanic serum เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ใช้สารสกัดจากสมุนไพรที่มีความสำคัญที่ช่วยบำรุงผิวและชะลอวัยจากธรรมชาตินานาชนิด อาทิ ขมิ้นชัน มะหาด ดอกโบตั๋น เกษรดอกบัวหลวง และใบบัวบก 3. Spa herbal products preparations ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ลูกประคบ และน้ำมันหอมระเหย
ภญ.วิลักษณ์ กล่าวว่า ในการร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์นันท์ จีพีโอ – โกลบิเน็กซ์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากสารสกัดขมิ้นชัน โดยใน 1 แคปซูล ประกอบไปด้วย สารสกัดขมิ้นชันเทียบเท่าสารเคอร์คูมินอยด์ 250 มิลลิกรัม มีสรรพคุณลดความรุนแรงของภาวะเครียดออกซิเดชัน และใช้เสริมการรักษาเพื่อลดความรุนแรงของภาวะเหล็กเกินและภาวะอักเสบ ใน”ผู้ป่วยโรคเบต้าธาลัสซีเมีย” โดยได้มีการสนับสนุนข้อมูลด้าน วิชาการของพืชยา ตั้งแต่การปลูก การสกัด การควบคุมคุณภาพ การขึ้นทะเบียนเป็นยา หรือผลิตภัณฑ์ส่งเสริมสุขภาพ การผลิตเพื่อจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ ขณะนี้ได้ผ่านการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว จะใช้วัตถุดิบขมิ้นชันที่ปลูกในพื้นที่จังหวัดน่าน โดยทางสถาบัน เค อะโกร-อินโนเวท ภายใต้มูลนิธิกสิกรไทย จะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้ชุมชนในจังหวัดน่าน ปลูกพืชยา เพื่อใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ต่อไป คาดว่าจะสามารถออกสู่ตลาดได้ในเร็วๆนี้

ด้านอนันต์ ลาภสุขสถิต ประธานสถาบันเค อะโกร-อินโนเวท กล่าวว่า จากแนวคิดในการสร้างห่วงโซ่คุณค่าใหม่สำหรับ ยาจากพืช ที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มแบบทวีคูณให้กับผลผลิตทางการเกษตรอันจะนำมาสู่การคืนป่าต้นน้ำอันมีค่าของประเทศ โดยนำจุดแข็งของจังหวัดน่านที่มีความหลากหลายทางชีวภาพในป่าส่วนที่ยังสมบูรณ์สูง เป็นแหล่งวัตถุดิบให้กับบริษัทยาจากต่างประเทศทั้งจีน ญี่ปุ่น อินเดีย และยุโรป ผนวกกับความเข้มแข็งของการแพทย์ไทยที่ได้รับการยอมรับในเวทีโลก และเป็นผู้นำในภูมิภาค CLMV จึงกำหนด วนเกษตรพฤกษเภสัช (Pharma-Agroforestry) เป็นยุทธศาสตร์หลักอันจะเป็น ยุทธศาสตร์บนความยั่งยืนที่จะแก้ปัญหาป่าน่าน ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มและนวัตกรรมทางพฤกษเภสัชจากการปลูกพืชให้เป็นยา
“ปัจจุบันการรักษาส่วนใหญ่จะใช้ยาแบบแผนตะวันตก ซึ่งการใช้สมุนไพรรักษาในทางการแพทย์มีจำนวนที่น้อยมาก โดยเทรนด์ที่ทางธนาคารโลก(World Bank) ได้มีรายงานเกี่ยวกับ Medicinal plant หรือ พืชเป็นยา ระบุว่ายาที่มาจากพืชทั่วโลกมีถึง 9% ในจำนวนนี้อยู่ในแถบยุโรป 50% และในจำนวนนี้อยู่ในประเทศเยอรมันถึง 50% ยิ่งในช่วงโควิดที่ผ่านมาทำให้กระแสพืชเป็นยาพุ่งขึ้น แต่สำหรับประเทศไทยอัตราการใช้พืชเป็นยาสูงมากกว่า ไต้หวัน จีน ญี่ปุ่น ปีละ 16% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตจากการนำเข้าสารสกัด” อนันต์ กล่าว

อนันต์ กล่าวต่ออีกว่า จากข้อมูลสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ของการเบิกจ่ายผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง พบว่าจ่ายค่ายาปีละประมาณ 70,000 ล้านบาท โดยยาที่จากสมุนไพรน้อยกว่า 1% ราว 700 ล้านบาทในจำนวนนี้เป็นค่านวด/ลูกประคบ 50 % และยาฟ้าทะลายโจรอีก 50 % นอกจากนี้ส่วนใหญ่จะนำไปทำเป็นอาหารเสริม เครื่องสำอาง หรือเป็นวัตถุดิบส่งออก โดยฐานข้อมูลของธนาคารกสิกร ได้มีการจัดหมวดอุตสาหกรรมยาไทย พบว่าจะอยู่ในหมวดของ เทรดดิ้ง เป็นการซื้อมาขายไป อย่างไรก็ตามในการจ่ายพืชเป็นยารักษาผู้ป่วยแพทย์อาจจะยังไม่กล้าสั่งจ่าย เนื่องจากไทยยังไม่มีกระบวนการพัฒนายาสมุนไพรที่เป็นมาตรฐานสากล
แนวทางการส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกขมิ้นชัน อนันต์ แสดงความเห็นว่า ในพื้นที่ของสถาบันได้มีการทำแปลงสาธิตเพื่อเป็นแนวทางให้กับชาวบ้าน รวมถึงการให้องค์ความรู้ต่างๆ โดยมีชาวบ้านในจ.น่านทำเกษตรอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนราวๆ 150,000 ครัวเรือน ซึ่งมีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการในช่วงระยะการดำเนินโครงการ 1 ปีที่ผ่านมาจำนวน 39 ครัวเรือน โดยมีการแบ่งพื้นที่การทำไร่ของแต่ละครัวเรือนเพียง 1 ไร่ ต่อพื้นที่ทำเกษตรเดิม 40-50 ไร่ ในการปลูกขมิ้นชัน ซึ่งได้มีการตั้งเป้ารายได้จากการปลูกขมิ้นชันไว้ที่ 100,000 บาทต่อไร่ ซึ่งมากกว่ารายได้จากการทำเกษตรในการปลูกพืชแบบเดิมปีละ 150,000 บาทต่อ 40-50 ไร่ อย่างไรก็ตามผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการจะต้องผ่านเงื่อนไข คือ 1.พื้นที่ทำเกษตรอยู่ในป่าที่ถูกต้องตามกฎหมาย 2. พื้นที่ปลูกขมิ้นชันครัวเรือนละไม่เกิน 2 ไร่ 3.มีการปลูกพืชผสมผสาน รวมถึงจะมีทีมวิจัยลงพืชที่ในการประเมินการใช้พืชเพื่อปลูก ให้สอดคล้องกับแนวทางที่จะนำไปทำเป็นวัตถุดิบยาหรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทั้งนี้คาดว่าภายในปีนี้จะมีการขยายเกษตรกรเข้าร่วมโครงการเป็น 100 ครัวเรือน ในปี 2569 อีก 500 ครัวเรือน.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อภ. เตรียมผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดนก ในระดับอุตสาหกรรม 1-4 แสนโดส/ปี
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีการระบาดของโรคไข้หวัดนก (Avian influenza,AI) สายพันธุ์ A (H5) ซึ่งในปัจจุบันพบว่ามีการแพร่ระบาด จากข้อมูลสถิติองค์การอนามัยโลก (WHO; World Health
เฮลั่นไทย 'ชุมชนบ่อสวก' จ.น่าน คว้ารางวัลชุมชนท่องเที่ยวยอดเยี่ยมโลก
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า องค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (UN Tourism) ได้มอบรางวัล
กรมส่งเสริมการเกษตร ดัน 'กาแฟบ้านมณีพฤกษ์' สู่แปลงใหญ่ เพิ่มรายได้เกษตรกร
กรมส่งเสริมการเกษตร เข้าพัฒนาศักยภาพวิสาหกิจชุมชนกาแฟบ้านมณีพฤกษ์ สู่แปลงใหญ่กาแฟบ้านมณีพฤกษ์ และมุ่งเป้าพัฒนาสู่เกษตรมูลค่าสูง ภายใต้แนวคิด ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม
'อุ๊งอิ๊ง' ตรวจน้ำท่วมวัดภูมินทร์ ดูภาพกระซิบรักบรรลือโลก น้ำลดลงสู่ภาวะปกติแล้ว
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล
'อุ๊งอิ๊ง' นั่งเรือลุยชุมชนน้ำท่วมสูงที่น่าน ย้ำรอทำหน้าที่นายกฯ จะมีมาตรการออกมาเต็มที่
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้เดินทางต่อมายังชุมชนบ้านภูมินทร์- ท่าลี่ และได้ลงเรือ พร้อมกับนายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรค และ สส.น่าน พรรคเพื่อไทย เพื่อเข้าไปมอบอาหารและถุงยังชีพ