
เสน่ห์ของภาคเหนือ ไม่ได้มีแค่ภูเขา สายหมอก ป่าไม้เขียวขจี หรืออากาศเย็นๆ แต่ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวของความเชื่อและประวัติศาสตร์ที่ชวนหลงใหล ทริปนี้เราเลยเลือกมุ่งหน้าไปยังสองเมืองเล็กๆ อย่าง น่านและแพร่ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายวัฒนธรรมล้านนาให้ได้ซึมซับผ่านวัดเก่า คุ้มโบราณ และวิถีชีวิตของผู้คนในอดีตที่เรียบง่ายที่ยังถูกบอกเล่ามาจนถึงปัจจุบัน
จุดหมายแรกเมื่อมาถึงน่าน ต้องไม่พลาดแวะวัดภูมินทร์ วัดคู่เมืองที่กลายเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของใครหลายคน เพราะที่นี่คือที่ตั้งของภาพจิตรกรรมฝาผนังชื่อดัง “กระซิบรักบันลือโลก” ผลงานของหนานบัวผัน จิตรกรพื้นถิ่นเชื้อสายไทลื้อ ที่ใช้สีแดง ฟ้า ดำ และน้ำตาลเข้มในการสร้างสรรค์ ปู่ม่านย่าม่าน มีลักษณะเป็นภาพชายหญิงคู่หนึ่งคล้ายกำลังกระซิบสนทนา จนกลายเป็นภาพจำของเมืองน่านไปโดยปริยาย

แต่วัดภูมินทร์ไม่ได้มีดีแค่ภาพกระซิบรัก เพราะถ้าย้อนไปในประวัติศาสตร์ วัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2139 หลังพระเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 40 และ 41 ขึ้นครองเมืองได้ 6 ปี เดิมชื่อ “วัดพรหมมินทร์” ตามพระนามของพระองค์ แต่กาลเวลาทำให้ชื่อค่อย ๆ เพี้ยนมาเป็น “วัดภูมินทร์” อย่างที่เราเรียกกันในปัจจุบัน
นอกจากจิตรกรรม วัดยังโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ พระอุโบสถทรงจตุรมุขสันนิษฐานว่าเป็นหลังแรกของไทย ประตูไม้ทั้งสี่ด้านแกะสลักลวดลายอย่างประณีตตามแบบฉบับช่างล้านนา ส่วนหลังคาถูกค้ำด้วยเสาไม้สัก 12 ต้น ลงรักปิดทองประดับลวดลายดอกไม้และช้างอย่างวิจิตร เป็นอีกหนึ่งจุดที่สะท้อนความงามทางศิลป์และวัฒนธรรมได้อย่างชัดเจนที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองน่าน

เดินข้ามมาอีกฝั่ง ก็จะพบกับวัดช้างค้ำวรวิหาร วัดเก่าแก่ที่เคยเป็นวัดหลวงกลางเวียงในอดีต และเป็นศูนย์กลางของพิธีกรรมสำคัญของเมืองน่านมาตั้งแต่ครั้งโบราณ วัดแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 1949 ในสมัยเจ้าปู่แข็ง เจ้าเมืองน่าน และได้รับการบูรณะหลายครั้งตามกาลเวลา โดยมีศิลาจารึกที่บันทึกไว้ว่า พญาพลเทพฤๅชัย ได้ปฏิสังขรณ์วิหารหลวงเมื่อปี พ.ศ. 2091 มีเอกลักษณ์คือเจดีย์ทรงลังกาองค์ใหญ่ ที่มีช้างครึ่งตัวโผล่ออกมาจากฐานรอบด้าน เหมือนกำลังช่วยกันค้ำยันองค์พระเจดีย์ไว้ แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปะสุโขทัยที่ผสมผสานไว้อย่างกลมกลืน บรรยากาศรอบวัดเงียบสงบ ร่มรื่น และเหมาะกับการเดินเล่นต่อเนื่องจากวัดภูมินทร์แบบไม่ต้องเร่งรีบ ได้ซึมซับกลิ่นอายเมืองเก่าทั้งในศิลปะและประวัติศาสตร์

มาต่อที่ วัดพระธาตุแช่แห้ง ปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ของน่าน ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน ลมเย็นพัดเอื่อย ๆ เหมาะกับการมาเดินเล่น สูดอากาศดี ๆ และไหว้พระขอพร วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยพญาการเมือง เจ้าเมืองน่านยุคแรก ๆ หลังย้ายศูนย์กลางเมืองจากปัวมายังฝั่งนี้ จุดเด่นของที่นี่คือพระบรมธาตุแช่แห้ง เจดีย์ทรงระฆังสีทองอร่ามที่เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนปีเถาะ รอบองค์พระธาตุบุด้วยทองจังโก ดูขลังและงดงามมาก ทางขึ้นมีพญานาคเลื้อยนำสายตาขึ้นไปยังองค์พระธาตุ ส่วนหน้าบันวิหารก็ปั้นลายนาคเกี้ยวอย่างประณีต ถือเป็นเอกลักษณ์ของศิลปกรรมเมืองน่านที่สวยงาม
ออกเดินทางต่อแบบเพลิน ๆ ผ่านทิวทัศน์สองข้างทางที่เต็มไปด้วยทิวเขา ป่าไม้เขียวขจี มุ่งหน้าสู่จังหวัดแพร่ ระยะทางราว 100 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จุดหมายแรกมาที่ คุ้มเจ้าหลวง หรือพิพิธภัณฑ์เมืองแพร่ ที่ตั้งเด่นอยู่กลางเมือง คุ้มเจ้าหลวงเป็นอาคารไม้หลังใหญ่ที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2435 โดยเจ้าพิริยเทพวงษ์ ตัวอาคารสวยคลาสสิกในสไตล์ขนมปังขิง ผสมผสานศิลปะไทยกับยุโรปอย่างลงตัว รอบๆ มีประตูหน้าต่างมากถึง 72 บาน ตกแต่งด้วยลายฉลุไม้ประณีตบนปั้นลมและชายคาน้ำ ทำให้บรรยากาศภายในคุ้มดูโปร่งสบาย แม้จะเป็นอาคารไม้ทั้งหลัง

เดินชมไปทีละห้องก็เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในยุครัชกาลที่ 5 ที่นี่เคยเป็นที่ประทับของเจ้าเมืองแพร่ และยังเคยเป็นจุดศูนย์กลางของการปกครองเมืองอีกด้วย เรื่องราวของคุ้มนี้มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของเมืองแพร่อย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่ช่วงเหตุการณ์ไม่สงบในปี พ.ศ. 2445 จนถึงการเปลี่ยนมือกลายมาเป็นจวนผู้ว่าฯ และสุดท้ายได้รับการบูรณะและเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์อย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2547 ที่น่าประทับใจคือ คุ้มหลังนี้ยังเคยเป็นที่ประทับแรมของในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระราชินีฯ เมื่อคราวเสด็จเยือนราษฎรชาวแพร่ในปี พ.ศ. 2501 และได้รับการยกย่องให้เป็นอาคารสถาปัตยกรรมดีเด่นอีกด้วย ใครที่อยากชมสามารถมาได้ทุกวันเปิดให้เข้าชมฟรี

อีกหนึ่งจุดหมายที่มีลักษณะเป็นบ้านเรือนสุดงดงาม คือ คุ้มวงศ์บุรี หรือที่ใคร ๆ เรียกกันติดปากว่า บ้านสีชมพู ที่สะดุดตาและโดดเด่นตั้งแต่แรกเห็น คุ้มแห่งนี้ เป็นเรือนไม้สักทองขนาดใหญ่สองชั้น สีชมพูหวานละมุนที่คงสีเดิมไว้ตั้งแต่สมัยสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2440 ลวดลายฉลุไม้อย่างประณีตที่เรียกกันว่าลายขนมปังขิง ถูกตกแต่งไว้อย่างงดงามทั่วทั้งหลัง ไม่ว่าจะเป็นบริเวณหน้าจั่ว ชายคา ช่องลม หรือแม้แต่กรอบหน้าต่าง

เมื่อเดินชมจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมไทยล้านนา ผสมผสานกับความละเมียดละไมแบบตะวันตก ซึ่งเกิดจากการออกแบบร่วมกันของช่างท้องถิ่นและช่างชาวจีน ใช้เวลาสร้างถึง 3 ปี กว่าจะได้คุ้มหลังนี้ขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ ภายในคุ้มยังคงเก็บรักษาเอกลักษณ์ของเรือนโบราณไว้ครบถ้วน ทั้งฐานรากไม้ซุงแน่นหนา การเข้าลิ้นสลักโดยไม่ตอกตะปู และหลังคาที่เคยเป็นแป้นไม้เกร็ด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกระเบื้องว่าวในภายหลัง

มีเรือนไม้เล็กๆด้านหลัง ซึ่งเป็นคุ้มดั้งเดิมของแม่เจ้าบัวถา มหายศปัญญา ผู้ริเริ่มสร้างคุ้มวงศ์บุรีแห่งนี้ขึ้นมาเป็นของขวัญในการเสกสมรสของบุตรบุญธรรมกับหลวงพงษ์พิบูลย์ ตัวบ้านหน้าหลังเชื่อมกันด้วยชาน และมี เติ๋น เป็นพื้นที่รับแขกและนั่งพักผ่อนอย่างเรียบง่าย แต่มีเสน่ห์ ปัจจุบัน คุ้มวงศ์บุรีได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนบุคคล ที่จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้และของสะสมที่ตกทอดจากเจ้านายในอดีต เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเดินชม ถ่ายรูป และเรียนรู้เรื่องราวของเมืองแพร่ ที่นี่ยังได้รางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นปี 2536 และการได้รับการประกาศให้เป็นมรดกของจังหวัดแพร่เมื่อปี พ.ศ. 2555 อีกด้วย

ถ้ามาเยือนเมืองแพร่แล้วไม่ได้แวะ วัดพระธาตุช่อแฮ พระอารามหลวง ก็คงเหมือนยังมาไม่ถึงแพร่จริง ๆ วัดแห่งนี้ไม่ใช่แค่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวแพร่มาหลายชั่วอายุคน ตามคติความเชื่อของชาวล้านนาโบราณ พระธาตุช่อแฮยังเป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีขาล หรือ ปีเสือ อีกด้วย ใครที่เกิดปีขาลได้มาสักการะพระธาตุแห่งนี้ เชื่อกันว่าจะได้อานิสงส์แรงกล้า เสริมบุญบารมีให้ชีวิตรุ่งเรือง

ขับรถขึ้นมาไม่ไกลก็ถึงเนินเขาเตี้ยที่ประดิษฐานองค์พระธาตุ ภายในพื้นที่วัดเราแบ่งออกเป็น 3 โซนหลัก ๆ เพื่อให้เที่ยวชมอย่างง่ายดาย เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูเข้ามา จะเห็นพระอุโบสถ ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เริ่มต้นการไหว้พระรับความเป็นสิริมงคลด้วยการสักการะ พระเจ้าช่อแฮ พระประธานศิลปะล้านนา-เชียงแสน-สุโขทัย ที่มีอายุหลายร้อยปี ภายในพระอุโบสถตกแต่งด้วยจิตรกรรมฝาผนังเรื่องราวของพระพุทธเจ้า เสาแต่ละต้นประดับด้วยหินสีรูปดอกไม้ เพิ่มความงามอย่างอ่อนช้อยให้กับศาสนสถานแห่งนี้


ผ่านประตูหลังพระอุโบสถ จะพบกับองค์พระธาตุช่อแฮ ที่ตั้งโดดเด่นด้วยเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมศิลปะล้านนา บุด้วยทองจังโกงสีทองอร่าม สวยสง่าเหนือยอดเขา ยอดฉัตรประดับเครื่องบนแบบล้านนา รอบองค์พระธาตุมีรั้วเหล็กล้อมทั้ง 4 ทิศ และซุ้มประตูทางเข้าที่สวยงามราวกับปราสาทในตำนานล้านนาเป็นบริเวณของ พระเจ้าทันใจ ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในซุ้มเล็ก ๆ องค์พระเป็นปางสมาธิที่ชาวไทใหญ่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2465 แทนองค์เดิมที่ถูกลักไป เชื่อกันว่าเป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์มาก หากได้มากราบไหว้และขอพร มักสมหวังดั่งใจหมาย

ก่อนกลับแวะชม พิพิธภัณฑ์พระธาตุช่อแฮ ที่จัดแสดงเรื่องราวเก่าแก่ของวัดและชุมชนโดยรอบ ภายในมีทั้งเอกสารโบราณเกี่ยวกับการซ่อมแซมพระธาตุ ภาพถ่าย รอยมือ-รอยเท้า และดวงชะตาของ ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา ตลอดจน พระเจ้าไม้สักทอง แกะสลักจากไม้ทั้งท่อนอย่างประณีต แสดงให้เห็นถึงศิลปกรรมอันวิจิตรงดงามของเมืองแพร่

ใครชอบสายวัฒนธรรม เบาๆ ไม่เร่งรีบ มีทั้งศิลป์ สถาปัตย์ และกลิ่นอายอดีต ต้องมาลองมาน่านและแพร่สักครั้งเพราะนี่เป็นเพียงทริปสั้นๆ ซึ่งยังมีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากรอให้ทุกคนไปสัมผัส






ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ชวนเที่ยว จ.น่าน จัดเต็มศิลปิน! ในเทศกาลดนตรีสุดปัง 'Nan Music Festival 2025' เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว 29-30 มี.ค. 68 เข้าชมฟรี
จังหวัดน่าน โดย สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดน่าน ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมจังหวัดน่าน และหน่วยงานพันธมิตร ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เตรียมจัดงาน “Nan Music Festival 2025” ระหว่างวันที่ 29 - 30 มีนาคม 2568 ณ บริ
'หมอยง' แจงโรค 'RSV' ความจริง 10 เรื่องที่ควรรู้
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า RSV ความจริงที่ควรรู้
ต้นปี 'ดอกประทัดดอย' บานสะพรั่งบนดอยภาคเหนือ
กรมอุทยานฯ ชวนนักท่องเที่ยว สัมผัสความงดงามดอกประทัดดอย บานสะพรั่งรับต้นปี ที่จะพบได้บนดอยพื้นที่ภาคเหนือเท่านั้น