'แม่ทัพกุ้ง' เผยจุดยืนในใจ ช่วงทำศึกกัมพูชา พร้อมปะทะทันที ถ้ามีกลิ่นไม่ดี ตายพร้อมลูกน้อง

“เสวนา เรื่องจริงจากชายแดน ในวันนี้ จะเป็นเรื่องจริงเท่านั้น ไม่มีสคริปต์  มีเพียงความรู้สึกที่อยากแบ่งปันจากใจ” ถ้อยคำเปิดเวทีของ แม่ทัพกุ้ง หรือ พลโท บุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ในงานบรรยายพิเศษหัวข้อ เรื่องจริงจากชายแดน พิทักษ์ผืนแผ่นดินไทย ในโครงการราชมงคลกรุงเทพร่วมใจแสดงพลังแห่งความสามัคคี เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกรักชาติ สร้างความรัก ความสามัคคี ให้กับบุคลากร นักศึกษา และประชาชน

เนื่องจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของประเทศ ทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ และความปลอดภัยของประชาชน ช่วยเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ ได้ตระหนักถึงความรัก ความสามัคคีของคนในชาติ และการปฏิบัติหน้าที่เสียสละเพื่อชาติ และเปิดโครงการทุนราชมงคลกรุงเทพเพื่อกองทัพไทย ประจำปีการศึกษา 2569

อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 นับเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในห้วงเวลาวิกฤติชายแดนไทย–กัมพูชา ใบหน้าอันขึงขังในวันวานที่พี่น้องประชาชนได้เห็นผ่านสื่อต่างๆ สะท้อนถึงความเด็ดเดี่ยวของทหารผู้ยืนหยัดปกป้องผืนแผ่นดิน แม้วันนี้บทบาทในเครื่องแบบจะสิ้นสุดลงตามวาระราชการ แต่อีกบทบาทคือวิทยากรที่ได้ถูกเชิญไปบรรยายพิเศษอย่างต่อเนื่อง เพราะหัวใจของนักรบผู้พิทักษ์ชาติ ยังคงแน่วแน่ไม่เสื่อมคลาย ความทุ่มเทและความกล้าหาญของยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของประชาชนไทยจนถึงทุกวันนี้

อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวในระหว่างการเสวนาว่า ก่อนเริ่มงาน ได้เห็นทุกคนยืนตรงร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ใช้เวลาเพียงไม่ถึงสองนาทีก็จบลง แต่สำหรับบางคน การยืนเพียงชั่วครู่กลับรู้สึกว่าเป็นเวลาที่ยาวนานหรือเหนื่อยล้า หากหากมองย้อนกลับไปถึงความเสียสละของพระมหากษัตริย์และบรรพบุรุษไทย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงนำทัพช้างออกต่อสู้เพื่อปกป้องเอกราชของชาติ บรรพบุรุษของเราวิ่งตามพระองค์เข้าสู่สมรภูมิ หลายคนสิ้นชีวิตเพื่อรักษาแผ่นดินไว้ แม้แต่พระองค์เองก็ทรงบาดเจ็บจากการศึกแต่ไม่เคยย่อท้อ

 เช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสยามมกุฎราชกุมาร ทรงเสด็จไปยังพื้นที่สู้รบที่บ้านหมากแข้ง เมื่อคอมมิวนิสต์เข้าตีฐานตำรวจตระเวนชายแดน พระองค์ทรงนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปด้วยพระองค์เอง และกระโดดลงในขณะที่เครื่องยังไม่แตะพื้น ก่อนจะทรงนำกำลังเข้าขับไล่ศัตรูโดยไม่หวั่นแม้จะเสี่ยงต่อชีวิต ดังนั้นเวลาเพียงสองนาทีในการยืนตรงร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี จึงเป็นสิ่งเล็กน้อยยิ่งนัก เมื่อเทียบกับพระมหากรุณาธิคุณและความเสียสละของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ที่ทรงอุทิศเพื่อแผ่นดินไทย

“การแสดงความเคารพต่อผู้ที่ทรงสร้างความเจริญให้แผ่นดิน ทั้งเทคโนโลยี รถไฟ การไฟฟ้า การศึกษา และโอกาสที่เรามีในวันนี้อย่างภูมิใจ ช่วยกันรักษาสีธงชาติสามสีให้เข้มชัดขึ้น ส่งต่อความภาคภูมิใจนี้ให้ลูกหลาน ร้องเพลงชาติให้ดัง เพราะยังมีอีกหลายคนบนโลกที่ไม่มีแม้แต่แผ่นดินหรือเพลงชาติของตนเอง ตั้งแต่วันนี้ไปไม่ต้องอายใครที่รักชาติ เคารพในพระมหากษัตริย์ และภูมิใจในแผ่นดินไทย” อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

พลโท บุญสิน ได้เล่าถึงความทรงจำเมื่อครั้งปฏิบัติหน้าที่แม่ทัพภาคที่ 2 บัญชาการ สถานการณ์สถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาว่า ตนพร้อมปะทะทันที ถ้ามีกลิ่นไม่ดี เพราะผมต้องปกป้องอธิปไตยและศักดิ์ศรีของคนไทยทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ และไม่ได้ต้องการจะทะเลาะกับใคร แต่ถ้าใครล้ำเข้ามาในแผ่นดินไทย ถือปืนเข้ามา ตนก็ต้องยืนหยัดปกป้อง เพราะอายเหลือเกิน ถ้าปล่อยให้ใครมายึดดินแดนของเราไปได้

“การตัดสินใจของแม่ทัพภาคที่ 2 ในพื้นที่มีหน้าที่ปกป้องอธิปไตยเขตภาค 2 ต้องรอบคอบ วางแผนล่วงหน้าและมีมาตรการผลักดันคู่กรณีตั้งแต่ระดับเบาถึงหนัก พร้อมแผนสำรองและซักซ้อมเสมอ เพราะสถานการณ์จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ หัวหน้าต้องรับผิดชอบทั้งความสำเร็จและผลกระทบ—รวมถึงดูแลครอบครัวผู้บาดเจ็บหรือผู้เสียชีวิต—โดยเป้าหมายสูงสุดคือ ชนะโดยไม่ต้องรบ ผ่านการป้องกันและแก้ปัญหาเชิงนโยบายเพื่อลดการสูญเสียของทหารและประชาชนให้มากที่สุด” แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว

แต่เหตุการณ์ชายแดนนี้ทำให้มีประชาชนและทหาร บาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตหลายคน  แม่ทัพภาคที่ 2 เล่าว่า บางคนเสียแขน เสียขา บางคนตาบอดทั้งสองข้าง แต่ยังยิ้มได้ แม้มองไม่เห็นอะไรเลย ผมยังจำภาพคุณยายที่นั่งเฝ้าหัวเตียงลูกชาย พลทหารที่บาดเจ็บหนักได้ดี เธอไม่รู้เลยว่าชีวิตลูกจะเป็นอย่างไรต่อไป เขาทำเพื่อใคร ถ้าไม่ใช่เพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน และเพื่อพวกเราทุกคน ทำให้เมื่อครั้งที่ผมไปเยี่ยมลูกน้องทุกคนในโรงพยาบาล เดินครบทุกเตียง แม้จะเหนื่อย แต่ก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองเหนื่อยเลย เพราะพวกเขาเหนื่อยกว่าผมมาก บางคนเสียอวัยวะ แต่ยังยิ้มได้ เพราะเขาภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่เพื่อแผ่นดิน

ตลอดชีวิตการเป็นทหาร อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า ได้อยู่เคียงข้างลูกน้องในทุกภาวะวิกฤต “ตายก็ตายพร้อมลูกน้อง”  นี่คือคำพูดที่ตนกล่าวไว้กับครอบครัวเมื่อครั้งปฏิบัติหน้าที่ที่ปัตตานี ถ้าเกิดอะไรขึ้น ให้พาลูกเมียมาอยู่บ้านหลังนี้ ที่สร้างไว้แล้ว ไม่ต้องไปอยู่บ้านหลวง เพราะวันหนึ่งอาจถูกไล่ออกเมื่อไรก็ไม่รู้ โชคดีที่ไม่เป็นเช่นนั้น และยังคงยืนอยู่ตรงนี้ด้วยเกียรติของทหารอย่างเต็มเปี่ยม

อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวต่อว่า ทุกวันนี้ผมเกษียณแล้ว เสียดายที่ไม่ได้อยู่กับลูกน้องมากเท่าที่อยากจะอยู่ แต่สิ่งที่ยังอยู่ในใจคือความผูกพันและความภูมิใจในความเป็นทหารไทย ถึงเวลาที่เราทุกคนต้องช่วยกันสร้างศรัทธาในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ให้มั่นคง ไม่มีเวลามาทะเลาะกันอีกแล้ว อย่าให้ประเทศอื่นหัวเราะเยาะ เพราะบรรพบุรุษของเราสละเลือดเนื้อเพื่อให้เรามีแผ่นดินอยู่จนถึงทุกวันนี้

“สิ่งที่ผมอยากฝากไว้ คือขอให้พวกเราช่วยกันเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกหลาน รุ่นน้อง และเยาวชนคนรุ่นใหม่ เพราะมั่นใจว่า นักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพฯ และทุกสถาบัน ทุกมหาวิทยาลัย ล้วนได้รับการอบรมจากครูบาอาจารย์ให้เป็นคนดี เป็นคนเก่ง และเป็นกำลังสำคัญในการค้ำจุนสามเสาหลักของประเทศชาติให้มั่นคงชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพราะอย่างหน้าที่ของทหารอาชีพคือปกป้องแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรม และในฐานะผู้บังคับบัญชาพาพวกเขาเดินบนเส้นทางแห่งเกียรติยศ เพื่อแผ่นดินไทยของทุกคน”

ด้านรศ.ดร.พิชัย จันทร์มณี อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ ได้กล่าวสดุดีและชื่นชมในความเสียสละอันยิ่งใหญ่ของเหล่าทหารกล้า ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่น อดทน และซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินเพื่อปกป้องเอกราชและความสงบสุขของชาติ จึงจัดตั้งโครงการทุนราชมงคลกรุงเทพเพื่อกองทัพไทย  สนับสนุนการศึกษาระดับปริญญาตรีแก่บุตรข้าราชการทหารทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ครอบคลุมค่าเล่าเรียนและค่าบำรุงการศึกษาตลอดหลักสูตร เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว และยกย่องเกียรติผู้เสียสละเพื่อชาติ

สำหรับโครงการทุนราชมงคลกรุงเทพเพื่อกองทัพไทย จะเปิดรับสมัครนักเรียนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้ารับการพิจารณาทุนอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม ตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน ถึง 26 ธันวาคม 2568 ผ่านระบบรับสมัครนักศึกษาใหม่ เข้าถึงผ่านเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ