
ทุกวันมีคนตายบนท้องถนนเพียงเพราะหลับใน ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึง 10 วินาที ง่วงแล้วฝืนขับรถ จนเกิดอุบัติเหตุ ทำให้บาดเจ็บสาหัสหรือตายคาที่ คนขับรถส่วนใหญ่มักไม่รู้ว่าตัวเองมีความง่วง อีกสาเหตุใช้มือถือ เล่นเกมส์ ท่องเว็ปไซต์ พิมพ์ข้อความขณะขับรถเสี่ยงตายไม่แพ้กัน ซึ่งเป็นความสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ปัญหานี้กระทบใจจุดประกายให้เกิดการพัฒนา ”DriveGuard “ ระบบเฝ้าระวังการขับขี่อัจฉริยะ โดยใช้เทคโนโลยี AI และ ระบบ IoT ตรวจจับหลับใน ตรวจจับโทรศัพท์ วัดแอลกอฮอล์ และตรวจสอบความเร็ว นวัตกรรมขับขี่ปลอดภัยนี้พิชิตรางวัลชนะเลิศการประกวดนวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาพ “Prime Minister’s Award for Health Promotion Innovation 2025” จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

รุ่งโรจน์ กรุงเกษม วิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI ) เผยที่มาการพัฒนานวัตกรรม“DriveGuard “ ภายใต้ชื่อทีม AiHUB ว่า ในแต่ละปีจะมีคนไทย 1.4 หมื่นคน ที่ขับรถกลับไม่ถึงบ้าน และอีก 8.5 แสนคน ที่ต้องบาดเจ็บและพิการจากอุบัติเหตุทางถนน ที่น่าเศร้าทุกๆ ปี มีเด็กและเยาวชนกว่า 10,000 ชีวิต ต้องเป็นเด็กกำพร้าสูญเสียพ่อแม่จากอุบัติเหตุ เพราะมีปัญหาจึงต้องคิดค้นและสร้างสรรค์นวัตกรรม DriveGuard มาแก้ไข DriveGuard คือเทคโนโลยีที่จะช่วยพาทุกคนกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย เพราะทุกชีวิตมีค่ามากกว่าจะต้องเสี่ยงบนท้องถนน สร้างสังคมที่น่าอยู่มากขึ้น
จากการศึกษาพบสาเหตุสำคัญของอุบัติเหตุทางถนน ประกอบด้วยการขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด ภาวะหลับใน การเมาสุราแล้วขับ การเล่นโทรศัพท์มือถือขณะขับรถ เนื่องจากตนทำงานด้านวิศวกรปัญญาประดิษฐ์มากว่า 15 ปี ภายใต้หน่วยงาน AiHUB Innovation เป็น Startup มองการใช้เทคโนโลยีเข้ามาลดอุบัติเหตุและเสริมสร้างความปลอดภัยทางถนน โดย ใช้เทคโนโลยี เอไอ กับระบบ IoT ซึ่งเอไอมีความสามารถในการเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ขับขี่ได้ ทั้งเมาสุราและหลับใน โดยใช้ระบบ IoT เพื่อเสริมความแม่นยำ เช่น การตรวจจับละอองแอลกอฮอล์ในรถยนต์เพื่อทำงานคู่กับเอไอ ทั้งยังมีฟังก์ชั่น IoTที่ช่วยตรวจจับความเร็วได้อีกด้วย
จุดเด่นของนวัตกรรมทันสมัยนี้มีโครงข่ายประสาทเทียมเอไอที่เราพัฒนาขึ้นมาเอง ซึ่งมีความแม่นยำและความเร็วที่สูงมาก อย่างการตรวจจับภาวะเมาสุราแล้วขับ เรานำภาพใบหน้าของคนเมา ลักษณะของคนเมากว่า 10,000 ภาพ ซึ่งเอไอเรียนรู้พฤติกรรมมนุษย์ หากเจอภาพลักษณะนี้แสดงถึงมีอาการมึนเมา
นอกจากนี้ หากใช้กล้องตรวจจับอย่างเดียวอาจมีความผิดพลาดได้ เราติดตั้งระบบเซ็นเซอร์เข้าไปภายในรถยนต์เป็นการเสริมระบบด้วย ซึ่งเซ็นเซอร์ตัวนี้สามารถตรวจจับละอองแอลกอฮอล์ในรถยนต์ระดับหนึ่งในล้านส่วน จากนั้นแปลงเป็นค่าแอลกอฮอล์ตามกฎหมายไทย ซึ่งกำหนดไว้ระดับแอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถือว่าเมาแล้วขับ ทำให้ประสิทธิภาพตรวจจับมีความแม่นยำยิ่งขึ้น ส่วนการหลับในระหว่างขับรถใช้หลักการเดียวกันในการตรวจจับผู้ขับขี่ว่ากำลังลืมตาหรือหลับตาอยู่ในระหว่างการขับขี่
“ ความยากของการตรวจจับภาวะหลับใน ไม่ใช่แค่หลับตาอย่างเดียว บางครั้งผู้ขับขี่อยู่ในภาวะหลับใน ทั้งที่ยังลืมตาอยู่ ตนได้ศึกษางานวิจัยจากต่างประเทศ พบว่า ปกติตามนุษย์ที่ไม่ได้อยู่ในภาวะหลับในจะกระพริบ 15 ถึง 25 ครั้งต่อนาที ขณะที่คนที่อยู่ในภาวะหลับในจะกระพริบตา 7 ถึง 12 ครั้ง ซึ่งเรียกว่า ภาวะตาหนัก ตาค้าง และไม่อยากกระพริบตา ระบบเฝ้าระวังจะประมวลผลผู้ขับขี่ที่มีแนวโน้มความเสี่ยงอยู่ภาวะหลับใน นอกจากดวงตาแล้ว เอไอจะตรวจจับลักษณะของหน้าและอาการหาวนอนแบบเรียลไทม์ ซึ่งตั้งค่าการหาว 3 ครั้งต่อนาที เกินกว่านี้ถือว่าผิดปกติ ระบบเฝ้าระวังการขับขี่อัจฉริยะนี้ใช้เทคโนโลยีพัฒนาให้มีความรวดเร็วเท่าทันก่อนจะเกิดอุบัติเหตุจากภาวะต่างๆ ปกติตามนุษย์จะกระพริบ 0.5 วินาที – 1 วินาที แต่ระบบ DriveGuard อยู่ที่ 0.2 วินาที เร็วกว่าพฤติกรรมของมนุษย์สองเท่า “ รุ่งโรจน์ กล่าว

อีกตัวการสำคัญของอุบัติเหตุบนถนน ผู้ขับขี่เล่นโทรศัพท์ระหว่างขับรถ นักพัฒนานวัตกรรม บอกว่า ระบบ DriveGuard เป็นผู้ช่วยตรวจจับพฤติกรรมเสี่ยงนี้ เอไอที่ใช้เปรียบเสมือนดวงตาของมนุษย์ ตนป้อนข้อมูลการเล่นโทรศัพท์ระหว่างขับขี่และภาพต่างๆ เพื่อให้เอไอประมวลผล หากตรวจจับผู้ขับขี่แล้วมีพฤติกรรมแบบนี้หรือมีโทรศัพท์เข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่ตรวจจับ ไม่ว่าจะเล่นหรือไม่ ระบบเฝ่าระวังจะส่งสัญญาณแจ้งเตือนทันที พร้อมบันทึกว่า มีการใช้โทรศัพท์ระหว่างขับขี่ ซึ่งระบบจะประมวลผลออกมาเป็นคะแนนการขับขี่ ถือเป็นหลักฐานชัดเจนฟ้องการกระทำที่ไม่เหมาะสม ก่อให้เกิดอันตรายได้
เมื่อถามถึงผลการทดสอบและทดลองที่เกิดจากการนำ DriveGuard ไปใช้ นักพัฒนานวัตกรรมยุคใหม่กล่าวว่า ได้ทดลองระบบดังกล่าวกับผู้ขับขี่รถรับจ้างขนส่งผลไม้จังหวัดราชบุรีมาส่งลูกค้าที่ตลาดสี่มุมเมือง จากที่เคยเกิดอุบัติเหตุ 10 ครั้งต่อปี ปัจจุบันเหลือเพียงครั้งเดียว สามารถลดอุบัติเหตุมากถึง 90% อีกผลพลอยได้ช่วยลดจำนวนใบสั่ง เพราะขับรถผิดกฎจราจร จากเดิม 30 ใบ เหลืออยู่ที่ 10 ใบ เหตุที่ลดลงมาจากผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมร่วมกับผู้ประกอบการวางมาตรการลงโทษผู้ขับขี่ด้วย จากระบบเฝ้าระวังบ่งบอกพฤติกรรมการขับขี่ที่ไม่เหมาะสมและเป็นอันตราย จากเดิมผู้ขับขี่ไม่ตระหนักถึงความปลอดภัยบนถนน ก็ระมัดระวังมากขึ้น
“ ระบบ DriveGuard ที่ใช้กับผู้ขับขี่รถขนส่งใช้ในรูปแบบกล่องประมวลผล ปัจจุบันกล่องต้นแบบราคาอยู่ที่ 12,000 บาท ส่วนประชาชนทั่วไปเพียงแค่สมัครสมาชิกเข้าระบบมีค่าบริการ 400 บาทต่อเดือน ใช้งานง่ายๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือได้ทันที ปัจจุบันมีผู้ขับขี่ทั่วไปใช้งานระบบนี้กว่า 100 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ขับรถทางไกล นักท่องเที่ยว รวมถึงกลุ่มคนทำงานเป็นกะ หากมีผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้นจะขยายระบบเฝ้าระวังนี้บนระบบ Cloud ต่อไป “ รุ่งโรจน์ กล่าว

นักพัฒนายุคใหม่ ย้ำ DriveGuard ถูกออกแบบมาให้ทำงานครบทุกแพลตฟอร์ม เป้าหมายทั้งเจ้าของนถยนต์ส่วนบุคคลสามารถใช้งานระบบเฝ้าระวังการขับขี่อัจฉริยะได้ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต โดยนำโทรศัพท์มือถือตั้งไว้หน้าคอนโซลรถ ใช้กล้องมือถือวางในตำแหน่งเห็นดวงตาของผู้ขับขี่ เอไอและระบบ IoT จะตรวจจับ หากอยู่ในภาวะเสี่ยงต่ออุบัติเหตุต่างๆจะส่งสัญญาณเสียงแจ้งเตือน โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกโทนเสียงและระดับความดังด้วยตัวเอง รวมถึงบริษัทด้านโลจิสติกส์ บริษัทเดินรถโดยสาร รถสาธารณะต่างๆ สำหรับการต่อยอดขยายผลระบบเฝ้าระวังการขับขี่อัจฉริยะนี้ รุ่งโรจน์กล่าวว่า เตรียมจะนำนวัตกรรมใหม่เข้าหารือกับผู้เกี่ยวข้องในกรมการขนส่งทางบกและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ก่อนหน้านี้ เคยพัฒนาระบบเฝ้าระวังการขับขี่อัจฉริยะมาแล้ว แต่ยังไม่ครอบคลุมเรื่องตรวจจับความเร็ว และเมาแล้วขับ ต้นเหตุสำคัญอุบัติเหตุบนถนน เมื่อตนสามารถพัฒนาระบบเฝ้าระวังนี้ได้สำเร็จ พร้อมแล้ว อยากประสานสองหน่วยงานนี้เพื่อขยายผลนำไปใช้งานอย่างแพร่หลาย ซึ่งจะทำให้ต้นทุนในการทำระบบนี้ลดลง
“ สิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุด อนาคตจะพัฒนาระบบเฝ้าระวังการขับขี่ถึงขั้นควบคุมรถยนต์ของผู้ขับขี่ที่มีภาวะหลับใน เมาแล้วขับ จะใช้หลักการควบคุมความเร็วรถ ค่อยๆ ชะลอความเร็ว และระบบไฟฉุกเฉินท้ายรถทำงาน เพื่อแสดงสัญญาณให้ผู้ที่ขับขี่รถยนต์ตามมา ระวังและทราบว่ารถคันนี้กำลังขับขี่ด้วยพฤติกรรมอันตราย ปัจจุบันเทคโนโลยีพร้อมแล้ว แต่ยังติดขัดเรื่องกฎหมาย “ รุ่งโรจน์ กล่าวถึงความฝันสูงสุดในการพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมลดอุบัติเหตุบนถนน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“12.12 สายชอปปิ้งต้องระวัง” สสส.-ม.อ. เปิดเวทีสะท้อนปัญหา “ผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย” ในไทย เผยผลตรวจสอบผลิตภัณฑ์ไร้คุณภาพผ่านแพลตฟอร์ม “TaWai for Health”
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 12 ธ.ค. 2568 ที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์
83% คนไทยเหงา! สังคมโดดเดี่ยวพุ่งสูง ขับเคลื่อนเปลี่ยนประเทศด้วยพลังการรับฟัง
ในวันที่สังคมไทยเชื่อมต่อกันด้วยเทคโนโลยีเกือบตลอด 24 ชั่วโมง กลับเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ผู้คนจำนวนมากรู้สึก “เหงา” มากที่สุดในชีวิต
สสส. สานพลังภาคี ลงศูนย์อพยพ จ.สงขลา ฟื้นฟูหลังน้ำท่วม หนุนหน่วยงาน-อาสาสมัคร-อสม.-ผู้ปกครอง ใช้คู่มือ “ปลูกกล้ากลางไฟ”
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สถานการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ ส่งผลให้เด็กและเยาวชนต้องกลายเป็นผู้ประสบภัยและพักอาศัยในศูนย์อพยพต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และโรงเรียนในพื้นที่ แม้ว่าสถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายแล้ว แต่หลายครอบครัวยังคงต้องอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิง
“น้ำท่วมหาดใหญ่” สสส. ไม่ทอดทิ้ง! ผนึกกำลังภาคีเครือข่ายฯ เตรียมเปิดโมเดล 3 เฟส ช่วยทันที-ฟื้นบ้าน-สร้างภูมิคุ้มกันภัยพิบัติ
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่
สสส.-สถาบันยุวทัศน์ ฯ ผนึกเทศบาลนครเกาะสมุย เดินหน้า “นักเรียนปลอดบุหรี่-บุหรี่ไฟฟ้า” ผ่านสถานศึกษา 4 แห่ง
นายรามเนตร ใจกว้าง นายกเทศมนตรีนครเกาะสมุย อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า เทศบาลนครเกาะสมุย มียุทธศาสตร์การดำเนินงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในพื้นที่
เด็กไทยเสี่ยงบนโลกออนไลน์ ถึงเวลามีสติรู้เท่าทันยุค AI
ทุกธุรกิจบนโลกใบนี้ล้วนเริ่มจาก “ความกลัว” ของมนุษย์-กลัวมืดจึงมีหลอดไฟ กลัวมองไม่เห็นจึงมีแว่นตา และในยุคที่โลกย้ายมาอยู่ในจอ ความกลัวรูปแบบใหม่ก็ผุดขึ้นเป็นรายวัน ตั

