"บิ๊กตู่" ห่วง ปชช.ช่วงวันหยุดยาวเสี่ยงแพร่ระบาด ย้ำมาตรการระวังเข้มข้นสกัดโควิด พร้อมสั่งเร่งตรวจสอบแพ็กเกจรักษาด้วยยาโมลนูพิราเวียร์ ฮึ่มดำเนินการตามกฎหมายหากลักลอบมาจำหน่าย ด้าน สบส.ลนตามสอบ รพ.เอกชนหลังโฆษณาว่อน ขณะที่วัคซีนโควิดเด็กเล็กไม่คืบ อย.รอไฟเซอร์-โมเดอร์นา
เมื่อวันพุธ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศ พบผู้ป่วยใหม่ (รักษาตัวในโรงพยาบาล) จำนวน 2,391 ราย เป็นผู้ป่วยในประเทศ 2,391 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,327,489 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) หายป่วยกลับบ้าน 1,901 ราย หายป่วยสะสม 2,327,441 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกำลังรักษา 24,082 ราย เสียชีวิต 25 ราย จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 776 ราย
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ฝากความห่วงใยไปถึงประชาชน พุทธศาสนิกชน ที่ใช้เวลาช่วงวันหยุดยาวทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ร่วมกับครอบครัว โดยเฉพาะการร่วมทำบุญแห่เทียนพรรษา ทำบุญถวายพระ และร่วมพิธีเวียนเทียน รวมกลุ่มทำบุญตามสถานที่ต่างๆ ให้ดูแลระมัดระวังสุขภาพ
"นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนเรื่องความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นช่วงของการเดินทางพักผ่อนทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว ขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวัง โดยเฉพาะสถานที่ที่มีการรวมกลุ่มของผู้คน ขอให้ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ ภายหลังการเดินทางหรือร่วมกิจกรรม ขอให้สังเกตอาการตรวจเอง และตรวจ ATK เพื่อความมั่นใจ" นายธนกรกล่าว
ด้าน นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า เนื่องในวันสำคัญทางศาสนา วันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา พุทธศาสนิกชนจำนวนมากมักเดินทางไปทำบุญ กรมอนามัยมีความห่วงใยความปลอดภัยด้านสุขภาพของประชาชน จึงขอให้ป้องกันตนเองขั้นสูงสุดด้วยหลัก UP-DMHTA ขณะที่ศาสนสถานที่มีการจัดทำโรงทานเพื่อแจกจ่ายให้ผู้ที่มาร่วมงานบุญนั้น ควรมีการคุมเข้มด้านความสะอาด ปลอดภัย และป้องกันโควิด-19 ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ สถานที่เตรียมปรุง และจุดรับอาหาร เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อโรค รวมทั้งขอความร่วมมือวัด ศาสนสถานทุกแห่ง ทำความสะอาดบริเวณผิวสัมผัสร่วม 7 จุดเสี่ยง ได้แก่ สายฉีดชำระ ที่กดโถส้วม โถปัสสาวะ ลูกบิดหรือกลอนประตู ที่รองนั่งโถส้วม พื้นห้องส้วม และที่เปิดก๊อก
วันเดียวกัน นายธนกรกล่าวด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์ยังมีความกังวลและห่วงใยพี่น้องประชาชน จากกรณีที่มีกระแสการซื้อยารักษาอาการป่วยโควิด-19 โมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) มาทานเอง ซึ่งจะมีความอันตราย และการใช้ยาโดยไม่จำเป็นอาจทำให้มีการดื้อยา เนื่องจากการใช้ยาดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด พร้อมมอบหมายกระทรวงสาธารณสุขเร่งสื่อสาร สร้างการรับรู้ที่ถูกต้องให้แก่ประชาชน
"นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการจำหน่ายแพ็กเกจรักษาโรคโควิด-19 ด้วยยาโมลนูพิราเวียร์ ทั้งในส่วนของมาตรฐานการรักษาทางการแพทย์ และที่มาของยารักษาโควิด-19 ที่นำมาจำหน่าย โดยห้ามนำยาภาครัฐมาจำหน่ายโดยเด็ดขาด การลักลอบนำยาของภาครัฐมาจำหน่าย มีความผิดตามกฎหมายด้วย" นายธนกรระบุ
ด้าน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อออนไลน์ว่ามีสถานพยาบาลเอกชนบางแห่ง มีการโฆษณาจำหน่ายแพ็กเกจประเมินอาการ และยารักษาโรคโควิด-19 กรม สบส.ได้มอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว ทั้งในส่วนของการขออนุมัติโฆษณาก่อนที่จะเผยแพร่ มาตรฐานการรักษาทางการแพทย์ และที่มาของยารักษาโรคโควิด-19 ที่นำมาจัดจำหน่าย ห้ามนำยาที่ภาครัฐเป็นผู้สนับสนุนมาจัดจำหน่ายโดยเด็ดขาด
"หากตรวจพบว่าสถานพยาบาลเอกชนมีการลักลอบนำยาของภาครัฐมาจำหน่าย ก็จะถือว่ามีความผิดตามกฎหมายพระราชบัญญัติสถานพยาบาล และพระราชบัญญัติยา อีกทั้งตัวแพทย์ผู้ให้บริการก็อาจจะถูกดำเนินการในฐานการกระทำผิดจริยธรรมทางการแพทย์ หากผู้ป่วยอาการรุนแรง เข้าข่ายผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตสีเหลืองหรือสีแดง สามารถเข้ารับการรักษาตามนโยบาย UCEP Plus กับสถานพยาบาลใดก็ได้ ไม่มีการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลจนกว่าผู้ป่วยจะหายจากโรคโควิด-19 เว้นแต่ว่าผู้ป่วยหรือญาติไม่ประสงค์ที่จะให้ไปรักษาในสถานพยาบาลที่กำหนด หรือประสงค์ไปรักษากับสถานพยาบาลอื่น ก็จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง" นพ.ธเรศกล่าว
ด้าน น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภายหลังการปรับขั้นตอนการรักษาผู้ป่วยโควิดตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2565 เป็นต้นมา ประชาชนที่ตรวจพบว่าเป็นโควิด-19 เช่นตรวจ ATK ขึ้น 2 ขีด ไม่ต้องโทร.แจ้ง 1330 เพื่อเข้าระบบหรือรับยาเช่นในอดีต แต่สามารถโทร.สอบถามขั้นตอนดำเนินการ หรือกรณีมีผู้ป่วยหนักประสานหาเตียงเพื่อเข้าโรงพยาบาล สามารถโทร .สายด่วน สปสช. 1330 กด 14 สำหรับประชาชนทั่วไป และกด 18 สำหรับกลุ่ม 608, ผู้ป่วยติดเตียงและผู้พิการ หรือที่ สายด่วน เอราวัณ 1669 กด 2 ได้
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า สำหรับผู้มีสิทธิบัตรทอง สามารถติดต่อที่เพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาที่ศูนย์บริการสาธารณสุข, คลินิกชุมชนอบอุ่น, หน่วยบริการปฐมภูมิของโรงพยาบาล ตามนโยบาย 30 บาท รักษาทุกที่, สถานพยาบาลที่ลงทะเบียนไว้ หรือร้านยาในโครงการ "เจอ แจก จบ" โดยสามารถตรวจดูรายชื่อร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการเจอ แจก จบ ได้ที่ https://www.nhso.go.th/downloads/197
"ส่วนผู้มีสิทธิประกันสังคม ผู้ประกันตนที่มีอาการป่วยไม่รุนแรง รักษาแบบเจอ แจก จบ ณ สถานพยาบาลประกันสังคมและสถานพยาบาลที่ร่วมให้บริการของรัฐและเอกชนทุกแห่ง คลินิกและร้านยาที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ทั่วประเทศ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่วนกรณีมีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยในตามดุลพินิจของแพทย์ ก็เข้ารักษาในโรงพยาบาลประกันสังคมและสถานพยาบาลที่ร่วมให้บริการทั้งรัฐและเอกชนทุกแห่งโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเช่นเดียวกัน" น.ส.ไตรศุลีกล่าว
ขณะที่ นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่ใช้ในกลุ่มเด็กที่มีอายุมากกว่า 6 เดือนขึ้นไป ถึงน้อยกว่า 5 ปีว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ติดตามข้อมูลจากต่างประเทศ พบว่าขณะนี้มีวัคซีนเพียง 2 บริษัท คือไฟเซอร์และโมเดอร์นา ซึ่งตั้งแต่ที่วัคซีนดังกล่าวมีการขึ้นทะเบียนใช้ในสหรัฐอเมริกา ทาง อย.ก็ได้ส่งหนังสือไปเชิญให้บริษัทนำเอกสารมาขึ้นทะเบียนในประเทศไทยด้วย
"ขณะนี้ก็รอให้เอาเอกสารมายื่นเพื่อดูความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีน ทั้งนี้ วัคซีนที่ใช้ในเด็กจะเป็นยาตัวเดิม แต่ทำให้เจือจางลง อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถใช้วัคซีนที่เรามีในมือได้ ต้องเป็นของใหม่ที่มีการผสมน้ำเกลือใหม่เท่านั้น เบื้องต้นไฟเซอร์ในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ขวบ จะเป็นฝาสีชมพูแดง ใช้ขนาด 1 ใน 10 ของผู้ใหญ่ที่ใช้ 0.3 ซีซี โดยเด็กเล็กจะฉีดทั้งหมด 3 เข็ม ในเวลาที่ห่างกัน ส่วนโมเดอร์นาก็จะเป็นสำหรับเด็ก 6 เดือนถึง 5 ขวบ ใช้ขนาด 1 ใน 3 ของผู้ใหญ่ โดยจะฉีดเพียง 2 เข็ม" นพ.สุรโชคกล่าว
รองเลขาธิการ อย.กล่าวว่า ล่าสุด กรมควบคุมโรคได้ทำการเปลี่ยนแปลงสัญญากับบริษัทไฟเซอร์ในการจัดซื้อวัคซีนสำหรับเด็กเล็กกลุ่มนี้แล้ว จำนวน 3 ล้านโดส และ อย.ได้แจ้งให้บริษัทไปขึ้นทะเบียน ขณะนี้ก็เหลือแค่เขามาขึ้นทะเบียน หากเอกสารที่นำไปยื่นกับ อย. เป็นโรงงานผลิตเดิม ยาตัวเดิม ก็ใช้เวลาพิจารณาไม่นานจะทราบผล อย่างตอนที่ไปยื่นขยายอายุในเด็กโต ก็ใช้เวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นายกฯ ร่วมผู้นำ 17 ประเทศ แถลงเรียกร้องปล่อยตัวประกันในกาซา
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า "วันนี้ ผมร่วมกับผู้นำ 17 ประเทศที่มีตัวประกันที่ยังอยู่ในกาซา ออกถ้อยแถลงร่วมเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวประกันทั้งหมด
รัฐบาลตีปี๊บ ประกวด 'ข้าวหอมมะลิไทย' ช่วยยกคุณภาพชีวิตเกษตรกร
รัฐบาลหนุนเกษตรกรและโรงสี จัดประกวดข้าวหอมมะลิไทยปี 2566 เฟ้นหาและอนุรักษ์พันธุ์ข้าวไทยคุณภาพชั้นเลิศ พร้อมขยายช่องทางการจำหน่าย
โจ๊กแฉ4ต.สกัดขู่ฟ้องแหลก สมชัยชี้ช่องเชือดกก.ปปช.
"โจ๊ก" บุกยื่นหนังสือ "ก.พ.ค.ตร." อุธรณ์คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน
ชงไทยบี้เมียนมา งดขายน้ำมันให้ เจรจาสันติภาพ
"โรม" เสนอให้ไทยงดขายน้ำมันให้ "เมียนมา" ปูดใช้ไทยฟอกเงินเครือข่ายซื้ออาวุธที่ใช้ปฏิบัติการ เตือนถูกดึงไปเอี่ยวร่วมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
20ปีเหตุ‘ตากใบ’ ยื่นศาลฟัน9จนท. ก่อนคดีขาดอายุ
ครบรอบ 20 ปีเหตุการณ์ตากใบ ผู้เสียหายรวม 48 คน ยื่นฟ้องคดีอาญาเจ้าหน้าที่รัฐ 9 คน
ชม‘สมาคมแบงก์’ลดดอกเบี้ย0.25%
"เศรษฐา" ดี๊ด๊าชมเปาะ "สมาคมแบงก์" เด้งรับนโยบาย ลดดอกเบี้ย 0.25%